วันพุธที่ ๒๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๐

You Can't Do That ,Because I Want to Do That.

ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง
คำคม สุภาษิตที่ได้ยินกันมานานแสนนาน
และยังคงเป็นจริงอยู่เสมอในสังคมไทย

สิ่งที่เราพบเห็นได้เสมอๆ

ถ้าเราขึ้นรถเมล์แล้วกำลังจะลง
เราจะพบว่าคนที่รอขึ้น มักจะรีบกรูกันขึ้นมา
ทั้งๆที่บนรถยังแน่นไปด้วยผู้คน
ก็ถ้าพวกกูข้างบนยังไม่ลงไป
พวกมึงจะเอาที่ไหนไว้ยืนละโว้ย!!!

ตัดภาพขึ้นมานี่รถไฟฟ้า BTS
ที่เราพึ่งหงุดหงิดจากรถเมล์เมื่อกี้มาหยกๆ
พอประตูรถเปิด หลายคนก็จะรีบพุ่งตัวเข้าไป
ทั้งๆที่คนข้างในยังไม่ทันได้ออกมาเช่นกัน

หลายคนเป็นพวกเดียวกันกับพวกที่กรูขึ้นรถเมล์เมื่อกี้
อีกหลายคนเป็นพวกที่แปรพักตร์ชั่วครู่
ด้วยเหตุผลว่า ก็คนมันรีบ

อีกหลายคนเป็นผู้ถูกกระทำในทุกกรณี
ช่างน่าสงสัยและเห็นใจยิ่งนัก

ทำไมบางทีคนเราก็ทำสิ่งเดิมได้ซ้ำๆ
แต่บางทีก็ทำกลับไปกลับมา
บางครั้งลามปามไปถึงทำในสิ่งที่ห้ามหรือบอกคนอื่นว่าไม่ให้ทำ

ในช่วงเวลาที่รัฐบาลออกมารณรงค์ให้ประชาชนช่วยกันประหยัดไฟ
ตามท้องถนนตอนเช้าๆที่สว่างโร่
เราจะพบว่าไฟตามเสาไฟฟ้ายังติดอยู่
ทั้งๆที่ควรจะปิดไปได้กว่า 3 ชั่วโมงแล้ว
และคาดว่ามันจะถูกเปิดไปจนกว่าจะครบรอบเย็นนี้
ในเวลาที่ควรจะเปิดอีกครั้ง

แล้วจะมาบอกให้พวกช่วยกันประหยัดทำไมครับ?
ในเมื่อพวกพี่ก็ผลาญกันไปไม่ใช่น้อย

และถ้าเหลือบมามองที่ซองบุหรี่
เราจะเห็นป้ายห้ามต่างๆมากมาย
อย่าสูบเลยมันไม่ดี
แก่เร็ว ตายเร็ว เป็นมะเร็ง
ช่างห่วงใยประชาชนเหลือเกิน

แต่ในเวลาเดียวกัน โรงงานยาสูบ สังกัดกระทรวงการคลัง
ก็ปั๊มเงินจากการขายและเก็บภาษีได้กว่าปีละ 5 หมื่นล้านบาท
ก็ถ้าพี่ห่วงพวกผมจริงๆก็อย่าทำขายเองสิครับ
มือขวาทำขาย มือซ้ายเป็นห่วง
ไม่เข้าใจจริงๆ

ทำใหนึกถึงครูตามโรงเรียน
ที่จับเด็กที่สุบบุหรี่มาตีเอาๆ
แต่ตัวเองหลบไปอัดบุหรี่หลังห้องพักครูอยู่ปุ๋ยๆ

มีเรื่องนึงที่ประทับใจมาก

เรื่องของครูที่อัสสัมชัญ โรงเรียนของผม
ม.สุรศักดิ์ ที่ใครๆเรียกว่า เซี่ยม
แก เป็นครูที่เฮี๊ยบมาก
วันนึงแกก็ได้ตัวเด็กที่สูบบุหรี่ทั้งๆที่ถูกจับได้หลายหนแล้ว
และยังถูกจับได้อีก
ก็ต้องทำการทำโทษเพื่อให้เข็ดหลาบ
ในขณะที่แกกำลังสั่งสอนเด็กคนนั้นอยู่
ว่าทำไม โง่ สูบบุหรี่มันไม่ดี สอนไม่เคยจำ

เด็กคนนั้นก็โพล่งขึ้นมาว่า
"ทีมาสเซอร์ยังสูบเลย" (ที่โรงเรียนจะเรียกครูว่ามาสเซอร์)

ม.สุรศักดิ์ หรือ เซี่ยมของเด็กๆ หยุดตี
แล้วบอกเด็กคนนั้นว่า
"ได้ ชั้นจะหยุดสูบ แล้วแกอย่าสูบให้ชั้นเห็นอีกนะ"
นับตั้งแต่วินาทีนั้นจนถึงวันนี้ ม.สุรศักดิ์ไม่เคยแตะบุหรี่อีกเลย
นอกจากหยิบบุหรี่ที่เด็กสูบมาทิ้งลงถังขยะ

แต่ก็ยังมีครูอีกหลายคนในประเทศนี้
ที่ตัวเองสูบ แต่ก็ยังตีและด่าเด็กอยู่เหยงๆ

What Left at Last.

เมื่อคืนนี้ไฟห้องนอนที่มีอยู่ก็ดับลงจนเหลือเพียงดวงเดียว
จากที่มีอยู่ทั้งหมด 6 ดวง

เป็นเรื่องน่าแปลกที่ว่า ตอนแรกมันมี 6 ดวง
พอมันดับไปทีละดวงสองดวง
แรกๆก็ว่ามืดไป แต่พอนานๆเข้าก็เริ่มชิน
แล้วพอมันค่อยๆดับเพิ่ม
ก็ค่อยๆชินกับแสงที่น้อยลงทุกวันทุกวัน

ก็เลยไม่ได้คิดอะไรมาก จาก 6 ก็ยังมีอยู่ 5
จาก5 ยังมีอีก 4
จนกระทั่งมาเมื่อวานนี้ มันเหลืออยู่ดวงสุดท้ายแล้ว

ความมืดมิดเริ่มมาเยือน
เอาล่ะ ทีนี้ก็ต้องรีบไปหามาติดให้เท่าเดิม
คงจะรู้สึกสว่างวาบจนต้องปรับตัวซักพักทีเดียวเชียว

คงจะจริงอย่างที่ใครเค้าบอกว่า
เราจะเห็นค่าของสิ่งใด ก็ต่อเมื่อเราเสียมันไปแล้ว

เพราะไอ้ตอนที่ยังมีไฟ 5-6 ดวง
เราไม่เคยสนใจไฟดวงที่ 2 เลย
เพราะมันก็เป็นอีกแค่ 1 จากทั้งหมด
แต่พอมันเหลือ 2 ดวง มันจะเป็นครึ่งหนึ่งจากทั้งหมด
และตอนนี้มันคือทั้งหมดแล้ว
ถ้าดับไปอีก คงไม่ต้องทำอะไรกันล่ะทีนี้

คงเหมือนคนรวยที่มีเงินเป็นหลักร้อยล้านพันล้าน
จะใช้เงินไม่กี่หมื่นบาท คงไม่ต้องคิดเยอะนัก

แต่กับคนที่หาเช้ากินค่ำ จะหยิบจะซื้ออะไร
คงต้องคิดแล้วคิดอีก แม้มันจะราคาไม่กี่ร้อย
แต่กับเงินหมื่นที่มีทั้งชีวิต มันคงดูมีค่ามากเหลือเกิน

เคยอ่านการ์ตูนอยู่เรื่องหนึ่ง
มีตัวละครตัวหนึ่ง รวยมากๆ
ใช้เงินเป็นเบี้ย เอาเงินมาโปรยแจกที่โรงเรียนทุกๆวัน
ไม่พอใจอะไรก็เอาเงินฟาด

แต่วันหนึ่งบ้านของเค้าล้มละลาย
จนไม่มีที่ซุกหัวนอน
แล้วเค้าก็ถูกตัวเอกของเรื่องใช้งานให้ไปเก็บเงิน
ที่เค้าเองโปรยทิ้งๆขว้างๆ
จนได้มากว่าร้อยล้าน
แต่เค้าได้รับเพียง 100 เยน เป็นค่าจ้าง
แต่มันเป็น 100 เยน ที่มีค่าที่สุดในชีวิตของเค้าทีเดียว

แต่ในชีวิตจริง จะมีใครที่รวยได้ขนาดนั้น
และจะมีใครที่ซวยได้ขนาดนั้น
และจะมีใครที่เรียนรู้ได้ในเวลาแบบนั้น

ขอยกเพลงของโมเดิร์นด๊อกมาประกอบบทความนี้
ด้วยความเคารพอย่างสุดซึ้ง

"อาจไม่เคยอยู่ในสายตา เหมือนเธอไม่รู้ว่ากำลังหายใจ
หากลองคิดดู สิ่งที่อยู่ ก่อนจะทิ้งไปจากวันนี้ จะไม่เสียใจ"

นั่นสิ ถ้าไม่ถึงวันสิ้นลมหายใจ
ใครจะมาสนใจสมหายใจกันเล่า

ลองมองดูดีๆว่าเราได้ละเลยอะไรเล็กๆน้อยๆในชีวิตไปบ้าง
เราพูด ครับ/ค่ะ กับผู้อาวุโสอยู่รึเปล่า
เราใช้คำว่า ค่ะ/คะ ถูกความหมายบ้างมั้ย
เราเคยเอาเหรียญ 50 สตางค์ที่ทิ้งขว้างมารวมกันมั้ย ว่ามันได้กี่บาท

Inspiration?

แรงบันดาลใจ
หรือเลียนแบบซึ่งหน้า

ใครจะไปรู้ว่าลอกไม่ลอก
ขึ้นอยู่กับคนทำเท่านั้นที่จะรู้ตัวเอง

เค้าว่ากันว่าประเทศญี่ปุ่นใช้การก้อปให้เหมือนแต่ถูกกว่า
สร้างจนตัวเองร่ำรวยได้

โดยการซื้อเอาเทคโนโลยีจากชาติตะวันตก แล้วมาทำให้ถูกกว่า
ต่อมาทำจนดีกว่า

และไม่นานมานี้ก็กันว่า จีนกำลังทำแบบเดียวกันกับญี่ปุ่น
และใช้โมเดลเดียวกันในการสร้างความร่ำรวย

และในยุคที่ลิขสิทธิ์เป็นสิ่งมีค่ายิ่ง
เพราะสิ่งใหม่ที่เพิ่งถูกคิดขึ้นมาได้
อาจถูกลอกไปในพริบตา

ตัวอย่างที่อุบาทว์สุดๆ
ไม่แน่ใจประเทศที่ทำนัก แต่อ่านมาว่า
ไม่ญี่ปุ่นก็อเมริกานี่แหละ
พยายามจะจดลิขสิทธิ์และสิทธิบัตรให้กับ
"ข้าวหอมมะลิ"
ว่าเค้าเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์
ทำได้ลงคอนะเนี่ย

คนไทยเองก็มีชื่อเสียงในด้านนี้ไม่ใช่น้อย
และเท่าที่ฟังมาก็ไม่รู้ควรจะภูมิใจดีมั้ย

เพลย์สเตชั่น เครื่องเล่นเกมส์ที่ฮิตไปทั่วโลก
ราคาเครื่องเรือนหมื่น
ราคาเกมส์แผ่นละพันกว่าบาท

ซื้อเครื่องได้ แต่ไม่มีปัญญาเล่น เพราะเกมแพง
พี่ไทยนำมาดัดแปลงจนเครื่องสามารถเล่นแผ่นก้อปปี้ได้
เหลือแผ่นละ 100 ถ้วนๆ ซื้อ 5 แถม 1

จนทางญี่ปุ่นคงสังเกตุได้ว่าที่ไทยซื้อกันแต่เครื่อง
มันไม่ซื้อเกมกันเลย จะซื้อไปนั่งดูเฉยๆก็ใช่ที่

จนทราบความว่ามันก้อปเกมเล่น
จึงได้กลับไปพัฒนาเครื่องรุ่นใหม่
เพลย์ทู
และตอนที่เปิดตัวเครื่องรุ่นใหม่นี้
วิศวกรและเจ้าของบริษัทโซนี่
ยืนยันว่าเครื่องรุ่นนี้สร้างมาจากมันสมองอัจฉริยะ
ของเหล่าวิศวกรของโซนี่
ไม่มีทางแก้ไขและก้อปปี้ได้เด็ดขาด

3 เดือนต่อมา ณ สะพานเหล็ก
ผลงานชิ้นโบแดงของเหล่าศิษย์เก่าสถาบันทางเทคโนโลยีระดับโลก
ต้องตกตะลึงกับผลงานของเหล่านักศึกษา ปวช.ชาวไทย
ที่ดัดแปลงเครื่องพร้อมเล่นแผ่นก้อปเสร็จสมบูรณ์

หรือการดัดแปลงมันจะง่ายกว่าการคิดและสร้าง
หรือคนไทยเก่งจริงๆ แต่ใช่ความเก่งไม่ถูกทาง

ลิขสิทธิ์เพลงที่ใครต่อใครพากันถามหา
ค่ายยักษ์ใหญ่ของไทยพากันเรียกร้องสิทธิ์อันชอบธรรม
ว่าถูกเหล่า mp3 แย่งยอดขาย

เค้าบอกว่า เค้าถูกปล้นทรัพย์สินทางปัญญา
ในอีกมุม มีคนสวนมาว่า ก็เพลงที่มึงทำ มึงก็ลอกเมืองนอกเค้ามา
ค่ายเพลงตอบกลับ โน้ตมันมี แค่ 7 ตัว มันต้องมีซ้ำกันบ้าง
ถูกของค่ายเพลง ไม่ว่าจะกุญแจซอล หรือกุญแฟ โน้ตมันมี 7 ตัวจริง

แต่ไอ้การที่โน้ต 7 ตัว รวมไปถึง ไล่บันไดสูงต่ำ
มันออกมาเรียงตัวกันได้อย่างอัศจรรย์จนเหมือนกันเด้ะเนี่ย
บังเอิญจังเนาะ

วันอาทิตย์ที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๐

Power of Network.

รวมกันเราอยู่ แยกหมู่เราตาย

ฟังดูน่าสนใจกับยุคสมัยที่ทุกๆคนจ้องแต่จะเอาตัวรอด
ถ้าอยากเอาตัวรอด ต้องรวมกลุ่ม
ทีนี้ก็จะไม่มีการหนีเอาตัวรอดคนเดียวได้อีกต่อไป

ร้านค้าต่างๆดูจะเป็นตัวอย่างที่ดีของกฏข้อนี้
ร้านที่ขายของประเภทเดียวกันมักจะจับกลุ่มอยุ่ในละแวกเดียวกัน
ทั้งนี้เพื่อให้คนที่จะซื้อนึกถึงได้ก่อน
ว่าถ้าอยากได้ของประเภทนี้ต้องมาบริเวณนี้

นับว่าเป็นกลยุทธฺ์อันชาญฉลาดของพ่อค้าแม่ค้ารุ่นเก่า
ที่สืบทอดมาถึงรุ่นปัจจุบัน

เครื่องยนตร์ อะไหล่รถเก่า ต้องเซียงกง
เดิมอยู่แถวๆจุฬา ตอนนี้ย้ายไปบางนาแล้ว

ยางรถยนตร์ต้องวงเวียน 22

คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์่ต่างๆ ขอให้มาที่พันทิพย์

แต่ถ้ามือถือขอให้ไปที่มาบุญครอง

และเมื่อเราไปถึงแถบนั้นๆ
เราจะพบร้านค้าจำนวนมากที่ขายของเหมือนๆกัน
ในราคาที่ไม่ต่างกัน

ปัญหาที่เกิดขึ้นในตอนนั้นคือ แล้วกูจะซื้อกับใครดีวะ
มันดูเหมือนกันไปซะหมด

ลงท้ายก็คือร้านไหนคนมุงๆเยอะ ก็ไปดูที่ร้านนั้น
พอคนซาก็ย้ายร้าน

ในการไปซื้อของแบบนี้ในย่านแบบนี้
สิ่งที่จำเป็นมาก คือ ผู้รู้
ที่จะพาเราซอกซอนไปจนเจอร้านที่ถูกต้อง
ราคาถูก คุณภาพดี

บางครั้งเป็นเจ้าถื่น
บางครั้งเป็นเซียนทางด้านนั้นโดยตรง

แต่ถ้าเราไปเอง โอกาสซวยสูงมาก

ในแถบนั้นๆมักจะมีร้านค้าที่มาแบบผิดประเภทอยู่เสมอ
เช่นในแพลตตืนั่ม ประตูน้ำ ที่ทั้งตึกขายแต่เสื้อผ้า
ก็ยังอุตส่าห์มีร้านขายมือถือกับเค้าอยู่ 1 ร้าน
สงสัยจริงๆว่ามันจะขายได้มั้ยวะเนี่ย

กรณีร้านแบบผิดที่ผิดทางนั้น อนุโลมให้ร้านค้าบางประภทได้
เช่น ร้านอาหาร ร้านขายน้ำ ที่ต้องมีทุกที่
ยิ่งมีคุ่แข่งน้อยยิ่งดี เพราะยังไงทุกคนต้องกินต้องดื่ม

แต่ในรายร้านมือถือกลางตึกที่ทุกคนมาเพื่อจะซื้อเสื้อผ้านั้น
ยังนึกเหคุผลดีๆไม่ได้เหมือนกันว่าทำไม
บาทีเค้าอาจโดนหลอกมาขาย
หรือเค้ามั่นใจว่าจะต้องขายดี

ก็ต้องรอดูกันไปยาวๆ

กฏทางการตลาดบอกไว้ว่า
ถ้าไม่เป็นคนแรก ก็ต้องเป็นคนที่ดีที่สุด ไม่งั้นก็ต้องแตกต่างที่สุด

ท่ามกลางความสับสน ณ พันทิพย์พลาซ่า

ใครเป็นร้านแรกที่มาตั้ง จะรู้มั้ย
ใครเป็นร้านที่ดีที่สุด จะรู้มั้ย
ใครเป็นร้านที่แตกต่างที่สุด ก็เห็นมันเหมือนกันหมด จะรู้มั้ย

สุดท้ายก็เข้าวังวนเดิมๆ ร้านไหนคนมุงๆ กูไปร้านนั้นละโว้ยย

ขอสารภาพว่าในบางอารมณ์ ก็เคยไปยืนมุงๆมั่วๆดูว่าจะมีคนตามมามั้ย
เค้าก็ตามมาดูกันนะ สรุปว่า แม่งมั่วพอกันทุกคน
จะเชื่อใครดีล่ะทีนี้

วันเสาร์ที่ ๒๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๐

Half-way Decision.

จุดสตาร์ท
เส้นชัย

มีคนให้ความสำคัญกับสองสิ่งนี้มากมายเหลือเกิน
แต่ระหว่างทางนั้น ก็มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายเหลือเกิน
ทั้งการออกนำแบบม้วนเดียวจบ
การไล่บี้กันจนวินาทีสุดท้าย
หรือแม้แต่การพลิกล้อกแบบสุดๆของผู้รั้งท้าย

มีเรื่องมาเล่าให้ฟัง 2 เรื่อง

เรื่องแรกเป็นเรื่องของชายคนหนึ่ง
ที่วางแผนจะว่ายน้ำข้ามแม่น้ำแห่งหนึ่ง
เขาเริ่มต้นว่ายไปเรื่อยๆ
แต่เมื่อว่ายจนถึงกลางทาง
เค้าก็ตัดสินใจยอมแพ้ และว่ายกลับ

ระยะทางที่เค้าว่ายไปและกลับ
กินระยะเท่ากับที่เค้าว่ายไปถึงเส้นชัยได้พอดี

ส่วนเรื่องที่สองเป็นเรื่องของนักว่ายน้ำ 2 คน
ที่เป็นคู่แข่งกัน คนแรกมีฝีมืออ่อนกว่าคนที่สอง
โดยเค้าทั้งสองเลือกที่จะว่ายข้ามทะเลไปที่เกาะแห่งหนึ่ง

การแข่งขันจบลงด้วยการชนะของนักว่ายน้ำคนแรก
เมื่อกลับมาถึงฝั่ง ผู้แพ้ก็เข้าไปถามผู้ชนะว่า
ทำไมเค้าถึงชนะได้ ทั้งๆที่ตลอดมาไม่เคยว่ายชนะได้เลย
ผู้ชนะตอบว่า เพราะครั้งนี้เค้าคิดแต่จะว่ายไปให้ถึง
ไม่ได้คิดเผื่อแรงไว้ว่ายกลับเลย

การตัดสินใจแบบไหนดีกว่ากันกันแน่
ความรอบคอบ
หรือมุทะลุบ้าบิ่นแบบไม่คิดหน้าคิดหลัง

แต่ทั้งสองเรื่องที่เล่ามามันก็เป็นเรื่องเล่า
ที่อาจจะแต่งขึ้นมาเพื่อให้ข้อคิดสอนใจบางอย่างเท่านั้น

ในโลกแห่งความเป็นจริงทุกคนเตรียมตัวเพื่อการเริ่มต้น
เตรียมตัวเพื่อเข้าเส้นชัย

แต่ในระหว่างทางนั้น เราได้เตรียมพร้อมสำหรับมันหรือไม่
และถ้าเราคิดจะเตรียมพร้อม เราจะทำได้จริงหรือ

ถ้าเป็นนักกีฬา เราต้องหมั่นซ้อม
ถ้าเป็นนักดนตรี เราก็ต้องหมั่นซ้อม

เราซ้อมได้ในสิ่งที่เราคาดการณ์ไว้ว่าจะเจอ
แต่บางครั้งเราต้องทำการ แก้ปัญหาเฉพาะหน้า
แปลว่ามันคือสิ่งที่ไม่คาดฝัน
เราจะทำอะไรกับมันได้บ้าง
ซ้อมไว้ให้กว้างที่สุด เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดมัน
แต่ใครจะไปสร้างความครอบคลุมได้มากขนาดนั้น

ในระหว่างการแข่งขัน
เรามักจะเห็นการเล่นมหัศจรรย์เกิดขึ้นเสมอ
เค้าซ้อมมาสำหรับจังหวะนั้นจริงหรือ
หรือนี่คือเครื่องหมายยืนยัน
ว่าพรสวรรค์มีจริง

ในการเล่นดนตรีก็มีการเล่นที่เรียกว่า
Improvise หรือการด้นสด
ที่นี่นิยมมากในการเล่นดนตรีแจ๊ซ
ที่ว่ากันว่ามันเล่นได้หนเดียว เล่นซ้ำอีกคงไม่เหมือนเดิม

แล้วทีนี้การตัดสินใจในจังหวะนั้นๆ
มันขึ้นอยู่กับอะไรกันแน่

พรสวรรค์?
การหมั่นฝึกซ้อม?
ฟลุ้ค?

แต่ที่แน่ๆ ถ้าอยากจะไปที่คาร์เนกี้ฮอลล์
เราต้อง ซ้อม ซ้อม แล้วก็ซ้อม

วันศุกร์ที่ ๒๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๐

This Order,Disoder.

ซื้อของมาแล้วใครจะคิดว่าของมันจะพังตั้งแต่ครั้งแรกที่ซื้อมา
ใครว่าของถูกและดีไม่มีจริง

นั่นสิ เริ่มสงสัยแล้ว
มิน่ามันถึงถูก
ทั้งๆที่ดูเป็นของดี

เรื่องของเรื่องก็คือตอนที่ไปสิงคโปร์มานั้น
ได้มีโอกาสซื้อ External Harddisk
มาจากที่นั่น ด้วยราคาที่ถูกสุดๆ
ของวางกองพะเนินอยู่
ไอ้เราก็เห็นความถูกบังตา
จึงไม่ทันคิดอะไร
ก็ซัดซะ ได้ของกลับมาเรียบร้อย

ด้วยความที่ไม่อยากวุ่นวายตอนแพ็คกระเป๋ากลับ
ก็เลยไม่ได้แกะอะไรทั้งสิ้น
เอากลับมาแกะที่บ้านทีเดียว
จะได้ย้ายเพลงทั้งหลายได้สะดวกโยธิน

ซื้อมาความจุ 320 Gb
ทีนี้ล่ะมึงเอ้ยย พ่อจะโหลดมาให้ชุ่มตับเชียว
(อ่านแล้วอย่าไปฟ้องค่ายเพลงนะครับ โดนจับไปไม่มีคนเขียนให้อ่านนะเอ้อ)
จัดแจงเสียบปลั้ก ไฟติด แต่มันกระพริบๆ
แปลว่าไฟเข้าไม่เต็มที่ อะไม่เป็นไร เอาใหม่
เสียบเข้าไป กระพริบอีก เอาแล้วไง

เลยจัดแจงเข้าไปในอินเตอร์เน็ต
ค้นหาเวบไซต์มันเพื่อหาข้อมูล
แล้วก็พบว่า Maxtor(ยี่ห้อฮาร์ดดิสก์ที่ซื้อมา)
โดน Seagate(บริษัทฮาร์ดดิสก์อีกยี่ห้อนึง) ซื้อไปแล้ว
ในไทยยังไม่พบความคืบหน้าใดๆเกี่ยวกับการควบรวมกิจการ

หลังจากไปสอบถามที่พันทิพย์มาพบเพียงคำตอบว่า
ศูนย์ Maxtor ไม่มีแล้ว

ไอ้ครั้นจะให้ร้านซ่อมให้ก็ต้องแกะออกมา
แล้วไอ้ใบประกันที่ติดไว้จะขาด และส่งผลให้ส่งเคลมไม่ได้ตลอดไป
เวรจริงๆ

เอาวะ ส่งกลับสิงคโปร์ก็ได้
และแล้วเจ้าฮาร์ดดิสก์ตัวน้อยก็ได้เดินทางกลับไปสู่มาตุภูมิ

พอมันเดินทางไปถึงร้านขาย มันก็ถูกปฏิเสธอย่างไม่ใยดี
ว่าต้องส่งไปที่ศูนย์ Maxtor ร้านเราไม่เกี่ยว
ส่งไปส่งมา ก็ต้องโทรไปติดต่อเจ้าหน้าที่
เจ้าหน้าที่ที่ว่าอยู่ที่อเมริกา
เค้าบอกว่า เปลี่ยนได้แต่ต้องมาที่นี่นะ
ไอ้ที่นี่ของมันคือ อเมริกานะโว้ยยย

มีบางคนบอกว่า ถ้าแกะมาเช็คก่อนก็จะได้ไม่ต้องเสียเวลา
ก็จริงของเค้า แต่ว่าคงต้องแกะที่ร้านกันสดๆ
มันอาจจะยอมเปลี่ยนให้

เพราะถ้ากลับมาที่โรงแรมแล้วแกะ ก็อาจจะพบคำตอบเดิม
ไม่แน่ว่าถ้าแกะที่ร้าน ก็อาจจะเปลี่ยนไม่ได้อยู่ดี

ทำให้เกิดคำถามขึ้นมาในหัวว่า
แกะที่ไหนแล้วเจอว่ามันเสีย จะเจ็บในที่สุด

กลับมาไทยแล้วเจอว่ามันเสีย ส่งกลับไปสิงคโปร์ เปลี่ยนไม่ได้
กลับมาแกะในโรงแรมที่สิงคโปร์แล้วเจอว่ามันเสีย เปลี่ยนไม่ได้
แกะมันที่ร้านกันสดๆแล้วเจอว่ามันเสีย เปลี่ยนไม่ได้

นั่นสิแบบไหนจะเจ็บใจกว่านะ

วันพฤหัสบดีที่ ๒๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๐

I'm so Hungry.

ตื่นมาก็หิว
เช้าก็หิว
เที่ยงก็หิว
บ่ายก็หิว
เย็นก็หิว
กลางคืนก็หิว
และตื่นมาก็หิวอีก

เวลาที่ชวนกันไปกินข้าว
บางครั้งเคยเจอคนกวนมาว่า
"กินทำไม กินมาทั้งชีวิตแล้วไม่เบื่อเหรอ"

นั่นสิกินมาทั้งชีวิตแล้วทำไมถึงยังต้องกินอีกวะ

หลายคนกินเพื่ออยู่
อีกหลายคนอยู่เพื่อกิน

อาหาร 3 มื้อต่อวันทิ้งระยะห่างเฉลี่ย 6 ชั่วโมงต่อมื้อ
แต่ในตอนกลางคืนเราไม่ต้องกินเพราะเราหลับ
แต่เราก็ยังมีมื้อพิเศษที่โผล่มาเป็นระยะๆ
กินมื้อเช้าไปแล้ว สายๆอาจจะมีอะไรเล็กๆน้อยกินไประหว่างทาง
มื้อเที่ยงก็ตามมา และพอตกบ่ายก็จะมีอะไรกินรองท้อง
ชาติตะวันตกก็ยังมีมื้อบ่ายที่เรียกว่า Tea-Time
เป็นสิ่งแสดงว่าใครๆก็หิวตอนบ่าย
และมาถึงมื้อเย็นที่ใครต่อใครพากันสรรหาที่กินให้สะดวกปาก สบายท้อง
และอาจลุกลามไปถึงมื้อดึกได้ในบางกรณี

สำหรับผมแล้ว อาหารไม่ได้มีไว้แค่ให้อิ่มท้อง
แต่มีไว้เพื่อหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณด้วยความอร่อย
ตัวอาหารทำให้อิ่มท้อง แต่รสชาติอาหารทำให้อิ่มใจ

คนเราพากันถวิลหาอาหารอร่อยๆมาไว้กิน
บางครั้งอาหารธรรมดามากๆ แต่ถ้าคนทำมีฝีมือพอ
มันก็อร่อยแบบสุดๆได้เช่นกัน
ข้าวมันไก่ประตูน้ำ เย็นตาโฟวัดแขก
ก๋วยจั๊บเยาวราช ข้าวหมูแดงตรอกสุกร
ขาหมูสีลม ก๋วยเตี๋ยวเนื้อที่เอกมัย

เราจะพบเห็นอาหารจำพวกนี้ได้ตามศูนย์อาหาร
ทั้งๆที่แปะป้ายเดียวกัน แต่รสชาติห่างไกลกันลิบลับ
บางร้านพอดังแล้วก็โดนขโมยชื่อเอาไปเปิดใหม่
เดือดร้อนจนถึงร้านต้นตำรับ
ต้องมาแปะป้าย ว่า "ร้านนี้ไม่มีสาขา"

คนเราก็มีรสนิยมการกินไม่เหมือนกัน
บางคนกินแต่ผัก
บางคนไม่กินผัก
บ้างก็ไม่กินเนื้อวัว บ้างก็เนื้อหมู
บางคนไม่กินเพราะแพ้
บางคนไม่กินเพราะนับถืออะไรบางอย่าง
บางคนไม่กินเพราะสุขภาพ

ของที่อร่อยมากๆสำหรับบางคนอาจรสชาติไม่ได้เรื่องสำหรับคนอื่นได้
มันเป็นเรื่องของรสนิยม การเลี้ยงดู และอาจรวมไปถึงประสบการณ์ส่วนตัว

คนจีน ชอบกินจืดๆเค็มๆ
คนไทยชอบกินรสจัด เปรี้ยวจัด เผ็ดจัด เค็มจัด หวานจัด
ฝรั่งก็ยังมีความแตกต่างกันไป
บางชาติกินจืดสนิท กินเผ็ดไม่ได้เลย
บางชาติกินเผ็ดได้หน้าตาเฉย
แขกกินอาหารกลิ่นแรงนิดๆ

แต่บางครั้งการผสมผสานทางวัฒนธรรมที่ลงตัว
ก็ทำให้เราเห็นฝรั่งมานั่งกินส้มตำปลาร้าได้หน้าตาเฉย
ทำให้เราเห็นอากงอาม่าแก่ๆมานั่งกินแฮมเบอร์เกอร์พร้อมกับหลานๆได้

พิมพ์แล้วก็หิวแล้วสิ
ไปหาอะไรกินดีกว่าครับ


Dare to Fear.

ความกลัวเกิดมาพร้อมกับทุกคน
บางคนใ้ช้ชีวิตอยู่กับมัน
บางคนหลบหลีกจากมัน
บางคนแปรเปลี่ยนมันเป็นพลังขับเคลื่อนชีวิต
บางคนไม่เคยสนใจมัน

ความมืด ที่สูง ที่แคบ แมลงสาป หนู
จิ้งจก ตุ๊กแก ผี เครื่องบิน การพูดต่อหน้าคนเยอะๆ
ของใช้ไฮเทค เพศสัมพันธ์ น้ำ การไม่มีตัวตน ฝรั่ง

ความสัมพันธ์แบบหลวมๆทีเ่กิดขึ้นของสิ่งที่กล่าวมาข้างต้น
คือสิ่งที่เกาะกินจิตใจมนุษย์ โดยใช้ความกลัวเป็นอาหารอันโอชะ

คนเราถ้าไม่เจอกับตัวเองไม่มีวันที่จะเข้าใจว่าของบางอย่างมันน่ากลัวตรงไหน

คนที่กลัวเข็มจนเป็นลม อาจดูน่าหัวเราะเยาะ
แต่คนที่กลัวเครื่องบินกลับดูจะได้รับการยกเว้น ไม่รู้ด้วยเหตุใด

ที่เราเห็นได้ชัด คือตามรายการเกมโชว์ต่างๆ
ที่มักจะมีการหักหลัง
โดยการเอาสิ่งที่คนในรายการเกลียดกลัว
เอามาเซอร์ไพรส์ ด้วยการโยนใส่
จับมัดขึงไว้ แล้วเอาสิ่งพวกนั้นมาไว้ใกล้ๆ

ดูสนุก ตลก และมีความสุขเสียเหลือเกิน

คนที่ไม่มีความสุขคงมีอยู่คนเดียว
คือไอ้คนที่โดนแกล้งนั่นเอง

การที่เรากลัวอะไรนั้นก็มีสาเหตุและที่มาที่แตกต่างกันไป
บ้างก็ว่ามาจากปมในวัยเด็ก
บ้างก็ว่ามาจากการทดแทนจิตใต้สำนึก

มีคนเคยบอกว่า ผี คือ ตัวแทนของความรู้สึกเกลียดบรรพบุรุษ
ฟังดูน่าจะเป็นไปได้จริง เพราะผีดูเป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้นมาเอง
แล้วคนที่กลัวหนู ไม่รู้่าไปได้ปมมาจากไหน

มีทฤษฎีที่น่าสนใจอยู่เรื่องหนึ่ง
คือเค้าว่ากันว่า คนที่กลัวแมลงสาปมักจะไม่กลัวจิ้งจก
และเช่นเดียวกัน คนที่กลัวจิ้งจกก็มักจะไม่กลัวแมลงสาป

ถ้ามันเป็นจริง แมลงสาปกับจิ้งจก มันมีความตรงกันข้ามกันได้อย่างไร
หลายคนกลัวอะไรแล้วจะกลัวทุกๆอย่างที่เกี่ยวข้องกับมัน

แต่บางคนก็กลัวแค่บางสภาพของมัน
เช่น คนที่กลัวเสียงขูดสังกะสี ก็สามารถจับต้องสังกะสีได้
แต่คนที่กลัวสัตว์ต่างๆ แทบไม่สามรถจับต้องมันได้เลย
แต่ดูรูปยังแทบแย่

ทำไม?

แต่คนกลัวเข็มก็ไม่สามารถจับต้องเข็มได้เหมือนกันแฮะ

ถ้าเลือกได้ คุณอยากจะกลัวอะไรบางอย่างบ้าง
หรืออยากที่จะไม่กลัวอะไรเลย

มีใครบ้างไม่อยากกล้า
มีใครบ้างอยากมีจุดอ่อน

ความกลัวเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยจะมีใครเปิดเผยต่อกันเท่าไหร่
เพราะเดี๋ยวจะโดนมันย้อนมาทำร้าย

แต่อีกหลายคนมองว่าความกลัว
คือการแสดงถึงความบอบบางน่าทะนุถนอม
ก็น่าจะจริง

ผู้หญิงที่กลัวอะไรบ้างนิดๆหน่อยๆ ก้ย่อมดูน่าปกป้อง ดูแล
มากกว่าผู้หญิงอีกคนที่แกร่งฉกาจ

แต่ในอีกมุม การยอมรับว่าตัวเองกลัวอะไร
ก็ต้องอาศํยความกล้าไม่ใช่น้อย
กล้าที่จะยอมรับว่าเรากลัว
กล้าที่จะบอกคนอื่นว่าเรากลัว
กล้วที่จะกลัว

เพราะบางคนที่บอกว่าเค้าไม่เคยกลัวอะไรเลย
เค้าอาจจะกลัวที่จะบอกว่าเค้ากลัวอะไรก็เป็นได้

วันอังคารที่ ๑๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๐

Why Think Out of The Box?

แต่ในโลกปัจจุบันกรอบ กฎเกณฑ์ต่างๆ ดูเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจเหลือเกิน
ไม่มีใครคิดอยากจะทำตามระเบียบข้อบังคับ

ใครจะอยากคาดเข็มขัดนิรภัย
ใครจะอยากใส่หมวกกันน๊อค
มีใครไม่อยากฝ่าไฟแดง
มีใครไม่อยากแซงขวา
มีใครไม่อยากวิ่งเร็วๆเกิน 80 บนทางด่วน
ไม่อยากก็ไอ้ตอนโดนตำรวจจับนั่นแหละครับ

แต่หลายๆอย่างที่เค้ากำหนดไว้
ดูเหมือนมาจากความเป็นห่วงเป็นใยเป็นหลัก

น่าแปลกที่มนุษย์เราต้องให้คนอื่นมาบอก
ว่าสิ่งใดควรทำ สิ่งใดไม่ควรทำ
ทำเป็นข้อกำหนด กฏเกณฑ์
แถมยังไปด่าเค้าตอนเค้ามาจับเราอีก
ทั้งๆที่เราทำผิดเองแท้ๆ

มนุษย์เราเบื่อที่จะถูกบังคับจริงหรือ
เราเกิดมาเพื่ออิสระจริงหรือ
เราถูกสร้างมาเพื่อเป็นสัตว์สังคมจริงหรือ

ความคิดนอกกรอบ อิสระแห่งชีวิต
ที่หลายต่อหลายคนถวิลหา
ดูดีและมีค่าจนโฆษณาหลายชิ้น
หยิบจับเอามาใช้เป็นแนวคิดในการสื่อสาร

ทั้งความคิดอิสระ
คิดออกจากกรอบ
อย่าอยู่แต่ในกะลา

รวมไปถึงการปลูกฝังจนเป็นคัมภีร์ของคนรุ่นใหม่
ว่าอะไรๆก็ต้อง Out of The Box
จนก็ให้เกิดวัฒนธรรมใหม่ของวัยมันส์
ทุกๆคนพยายามที่จะแหกคอก
พยายามที่จะซ่าส์ กล้า บ้า
พยายามที่จะแหวกแนว
พยายามที่จะสวนกระแสสังคม
โดยที่ไม่ได้ดูตัวเอง

แล้วการอยู่ในกรอบมันไม่ดีตรงไหน?
ในบางห้วงของความคิด
สิ่งที่ดีที่สุดอาจเกิดอยู่ข้างในกรอบนี่แหละ

ในโลกกีฬา กรอบเป็นเส้นแบ่งบางๆ
ที่กั้นระหว่างผู้ชนะ และผู้แพ้

เส้นกรอบสนาม
เส้นประตูฟุตบอล
เส้นคอร์ตเทนนิส
ข้อจำกัดที่ใครหลายคนไม่ต้องการ
โดยเฉพาะในเวลาที่เราพลาด

ถ้าโกล์กว้างกว่านี้นิดนึง ลูกนี้เข้าไปแล้ว
ก็ตีเลยเส้นไปนิดเดียว ทำไงได้

แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่หรือที่สร้างสรรค์ความสวยงามในเกมกีฬา
ถ้าปราศจากกรอบ ลูกยิงสวยๆจะเกิดขึ้นได้อย่างไร
ถ้าสนามเทนนิสกว้างกว่านี้
เทนนิสคงเป็นกีฬาที่น่าเบื่อพิลึก
เพราะตียังไงก็ลง ไม่มีการตีโต้
นักมวยคงวิ่งพล่านไปทั่วเพื่อหลบหลีกการโดนชก
ถ้าปราศจากเชือกกั้น

ถ้าอย่างนั้นหนทางการก้าวไปสู่นักกีฬาที่เก่งที่สุด
ไม่ใช่การเป็นคนที่อิสระที่สุด แหวกแนวที่สุด
แต่น่าจะเป็นคนที่เรียนรู้ที่จะไปให้ใกล้กรอบที่สุด
โดยไม่หลุดไปจากมัน
แม้บางครั้งอาจจะทำให้หมิ่นเหม่ต่อการหลุดออกไปบ้าง
แต่ก็ยังคงตัวอยู่ใด้ในกรอบนั้นๆ

หรือเราจะต้องคิดให้ออกนอกกรอบ
แต่ทำตัวให้อยู่ในกรอบให้ได้

ตกลงว่ามันจำเป็นหรือไม่จำเป็นต่อชีวิตเรากันแน่
ไอ้กรอบ หรือ นอกกรอบทั้งหลายเนี่ย

วันจันทร์ที่ ๑๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๐

Balance of Life.

ทุกชีวิตล้วนแล้วแต่ถวิลหาความสมดุล
ร้อนมากไปก็ไม่ดี
หนาวมากไปก็ไม่ดี
อิ่มไปก็ไม่ดี
หิวไปก็ไม่ดี

ทางสายกลางดูจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด
ในการไปสู่ความสบาย

หนทางไปสู่ทางสายกลางนั้น
ต่างคนก็มีต่างวิธีกันไป

ลองนึกดูง่ายๆ
ที่ห้องนอนของเราเอง
ตอนที่ยังไม่เปิดแอร์ อากาศร้อนระอุ
เราจึงเปิดแอร์ พอเปิดไปซักพักอากาศก็เย็นสบาย
แต่พอนานเข้า ก็เริ่มหนาว เราก็ปิดแอร์
พอปิดแอร์ซักพักก็ร้อน จึงต้องเปิดแอร์ใหม่

แต่ในทันใดที่เราได้แสงสว่างทางปัญญา
เมื่อเราเปิดแอร์จนเลยจากจุดสบายมาหาจนถึงจุดหนาว
พระเจ้าได้ประทานสิ่งมหัศจรรย์มาให้เรา
นั่นคือ ผ้าห่ม!!
ที่จะช่วยดึงเอาอุณหภูมิกลับไปสู่จุดสบายอีกครั้งหนึ่ง

แต่ถ้าห่มไปนานๆมันก็จะเลยจากความอุ่นสบาย
ไปสู่ความร้อนอึดอัด และจากร้อนอึดอัด
พอเราถีบตัวออกมาจากผ้าห่ม ความเย็นสบายก็จะบังเกิด
และแน่นอน มันจะพาเราไปหาความหนาวเป็นเพื่อนคนต่อไป

วงจรอันไม่รู้จักจบสิ้นนี้สอนอะไรให้เราบ้าง
ทางสายกลางยากเกินกว่าที่จะทำได้หรือไร

มันดูเหมือนกราฟพาราโบลา
ที่พุ่งขึ้นไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อไปถึงจุดสูงสุดสมดังใจปราถนาแล้ว
ก็ดิ่งลงอย่างไม่สนใจหน้าอินทร์หน้าพรหม

เหมือนที่ใครหลายคนเคยบอกว่า
ชีวิตคนเราก็เป็นแบบนี้
จากทารกที่ช่วยอะไรตัวเองไม่ได้ พูดจาไม่รู้เรื่อง
โตขึ้นไปเป็นชายหนุ่มหญิงสาว
และกลับมาสู่คนชราที่ค่อยๆช่วยอะไรตัวเองไม่ได้ พูดจาไม่รู้เรื่อง

เราจะทำอย่างไร
เพื่อพยุงเอาจุดสูงสุดไว้ให้อยู่กับตัวเราได้นานๆ
เพราะในชีวิตเราก็เต็มไปด้วยกราฟพาราโบลาหลากชนิด
ที่จะพาเราขึ้นๆลงๆ ออกห่างและเข้าใกล้จุดสบายครั้งแล้วครั้งเล่า

เราควรที่จะเรียนรู้เพื่ออยู่กับความไม่สบายให้ได้
หรือควรเรียนรู้เพื่อหาทางที่จะรั้งความสบายเอาไว้ให้นานที่สุด

เราควรจะเคยชินกับความหนาวให้ได้นานๆโดยไม่ห่มผ้า
หรือควรจะหาผ้าห่มที่มีช่วงเวลายาวนานที่รักษาความอุ่นสบายไว้ได้
โดยไม่ที่ทำให้เราร้อนจนอึดอัดไปเสียก่อน

ห่มผ้า = ร้อน
เปิดแอร์ = หนาว
ห่มผ้า + เปิดแอร์ = อุ่นสบาย

ทางสายกลางคือการผสมผสานที่ลงตัวของสองสิ่ง
หรือคือการจับปลาสองมือที่แนบเนียนที่สุดกันแน่

ขอสดุดีบทความนี้ แก่แอร์เย็นๆ และผ้านวมขนเป็ดยามค่ำคืน

Global Warming, Global Warning

อากาศที่ร้อนจนผิดปกติแบบนี้ คงทำให้ใครต่อหลายคนอึดอัดพอตัว
พัด พัดลม แอร์ เป็นวิวัฒนาการของความเย็นที่ถูกคิดค้นขึ้นมา
เพื่อบรรเทาความร้อนให้แก่มวลมนุษยชาติ
ต้องขอกราบขอยพระคุณคนคิดมา ณ ทีนี้

เค้าว่ากันว่าปัจจุบัน โลกร้อนขึ้นกว่าเก่า 4 องศาเซลเซียส โดยเฉลี่ย
ฟังดูเป็นเรื่องขี้ผง แต่ถ้าวัดจากความรู้สึกแล้ว
เดี๋ยวนี่มันร้อนกว่าตอนเราเด็กๆแบบรู้สึกได้ชัดทีเดียว

และบรรดานักวิชาการก็ออกมาถกเถียงกันมากมาย
บ้างก็ว่าน้ำแข็งที่ขั้วโลกจะละลายมาจนน้ำท่วมโลก
บ้างก้ว่าไม่เป็นไรน้ำแข็งมันละลายตลอดเวลาอยู่แล้ว
แล้วเราควรจะเชื่อใครดี
เชื่อฝั่งที่เตือนสติเรา หรือเชื่อฝั่งที่ทำให้เราสบายใจดี

ทีนีสิ่งที่ช่วบชีวิตเราๆท่านๆจากความร้อน ที่ใกล้ชิดชีวิตเรามากที่สุด
คงหนีไม่พ้น แอร์ หรือ เครื่องปรับอากาศ
เมืองร้อนแบบบ้านเรา แทบทุกที่ต้องติดแอร์
ห้างสรรพสินค้า ร้านรวงต่างๆ ตึกสูงระฟ้า
รวมไปถึงบ้านข่องห้องหอของประชาชนทั่วไป
ล้วนแล้วแต่มีแอร์กันเป็นส่วนมาก

ปัญหาของแอร์ไม่ได้อยู่ที่ความเย็นที่มันพ่นออกมาให้เรา
มันอยู่ที่ความร้อนที่มันพ่นออกมาต่างหาก

แอร์เป็นตัวอย่างของการยื่นหมูยื่นแมวที่ดีมากตัวอย่างหน่ึง

ข้างหนึ่งของแอร์คือความเย็น
อีกข้างคิอความร้อน

ใครอยากได้ความเย็น ต้องแลกด้วยความร้อน

ฟังดูดีและมีเหตุผลดีทีเดียว
แต่ทีนี้ไอ้ความเย็นที่อยู่ข้างใน ก็ดีอยู่หรอก
แต่ความร้อนที่พ่นออกมานี่สิ ใครรับไป?

ในตอนกลางวันที่ค่อนข้างร้อนอยู๋แล้ว ทุกๆที่ก็เปิดแอร์กันเป็นส่วนมาก
ความร้อนเท่าไหร่กันที่ถูกพ่นออกมา
ในตอนกลางคืนถ้าไม่เปิดแอร์ก็จะนอนไม่หลับ

ไอ้ความร้อนนี่เป็นสิ่งที่ทุกคนยอมแพ้ได้โดยง่าย
ร้านอาหารบางร้านมีแอร์บริการเป็นปกติ
บางร้านไม่มีแอร์ แต่ก็ยังมีพัดลม
บางร้านแยกส่วนชัดเจน โซนมีแอร์คิดเงินเพิ่มคนละ 3 บาท
นัยว่าใครอยากสบายต้องจ่ายเพิ่ม ฟังดูน่าตลก
แต่ที่ตลกกว่าก้คือมีคนยอมแพ้ความร้อน หรือที่จริงแพ้ใจตัวเอง
เข้าไปนั่งซะมากมาย อยากรู้ว่า ถ้าวันนึงไม่มีใครเข้าไปนั่งเลย
ร้านนั้นจะยอมเปิดแอร์ทิ้งเฉยๆโดยไม่ได้เงินเพิ่มรึเปล่าหนอ

ทีนี้ในเมื่อแอร์มันทำให้โดยรวมร้อนขึ้นมากกว่าที่ทำให้ส่วนตัวเย็น
แต่ทุกคนก็ยังรักที่จะเปิดแอร์อยู่เหมือนเคย
หลายคนรวมถึงตัวผมเองก็คิดว่า ใครๆมันก็เปิดกันทั้งนั้น
หรือคิดว่า ก็มันร้อนนี่หว่า จะให้ทำไง
นั่นสิ บางทีมันร้อนจริงๆจะให้ทำยังไง
หลายต่อหลายครั้งที่การเดินทางอันร้อนระอุ
ทำให้เราทรมาน กลับมาอยากจะอาบน้ำให้หายร้อน
เปิดน้ำมา ก็ได้น้ำร้อนแบบอัตโนมัติ ทั้งๆที่ไม่ได้เปิดเครืื่องทำน้ำอุ่น
เพราะน้ำมันถุูกเผามาตั้งแต่อยุ๋ในท่อประปาแล้ว
ทางรัฐบาลคงอยากให้ประชาชนได้ใข้น้ำที่ผ่านการฆ่่าเชื่อแล้ว

เมื่อฝันแรกสลายไปกับสายน่้ำอุ่นๆ
ฝันที่สองจึงต้องรีบสายต่อ นั่นคือแอร์เย็นฉ่ำ
ที่กระหน่ำเปิดไว้คอยท่า
ทำให้กิเลสในตัวสยายปีกขึ้นมาคลุมทับจิตใจที่ตั้งมั่นจะช่วยโลกร้อน

เคยลองคิดเล่นๆว่า ถ้าทุกคนในโลกนี้ปิดแอร์พร้อมกัน
มันจะช่วยลดอุณหภูมิของโลกลงไปได้เยอะเท่าไหร่กัน

ถ้ามันเยอะก็น่าลุ้นที่จะลอง
แต่ถ้ามันน้อยคงดูไม่คุ้มเท่าไหร่

ทุกวันนี้ อุณหภูมิห้องที่ 25 องศาเซลเซียส
ที่ตอนเด็กๆเคยคิดว่าร้อนน่าดู
กลับดูเย็นยะเยือกอย่างน่าประหลาด
ถ้าเทียบกับ 38 องศาเซลเซียส กลางแดดเปรี้ยง

เราจะใช้ชีวิตอย่างไร ถ้าไม่มีแอร์ ตู้เย็น และน้ำแข็ง
ถ้าการไม่มีมันแล้วโลกดีขึ้น จะมีใครพร้อมทำบ้าง

แต่ขอสารภาพตามตรงว่าตอนที่เขียนอยู่ แอร์ที่บ้านเย็นดีจริงๆ

วันเสาร์ที่ ๑๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๐

Beloved Rival.

เดินผ่านตู้แช่ที่ร้านสะดวกซื้อ
พลันสายตาไปสะดุดกับเครื่องดื่มน้ำดำยอดฮิต
โค้ก และเป๊ปซี่
อันที่จริงอาจมียี่ห้ออื่นแต่ขอละไว้ในฐานที่เข้าใจ

อันเครื่องดื่มน้ำดำทั้งสองยี่ห้อนี้ มีมนต์ขลังอันพิเศษ
เพราะสีของมันคือสีดำ
ไม่น่าจะเป็นอะไรที่เหมาะกับการเอาลงไปสู่ท้องเราได้
แถมยังอุดมไปด้วยน้ำตาลและโซเดียม
ที่ล้วนแล้วแต่ส่งผลเสียต่อร่างกายถ้ากินมากไป
นอกจากนี้รสซ่าที่หวานหอมก็ถูกสร้างมาจากกรดคาร์บอนิก
ที่ลือกันว่าไม่ดีต่อร่างกายอีก

แล้วทีนี้มันมีอะไรดีถึงได้ยังขายดีนัก
ในยุคสมัยที่ผู้คนพากันพุ่งไปสู่
"กระแสสุขภาพ"
อะไรก็สุขภาพ อะไรก็ธรรมชาติ
เคยดูโฆษณาสินค้ายี่ห้อนึง
แล้วรู้สึกหมั่นไส้เป็นอันมาก
ออกมาพูดถึงคุณค่าจากธรรมชาติ คุณค่าจากธัญพืช
แต่แล้วสินค้าที่ขายคือแครกเกอร์ผสมธัญพืช
ซึ่งไปดูหลังซองแล้ว มีส่วนประกอบของธัญพืชอยู่น้อยนิด
และยังเต็มไปด้วยโซเดียมและผงชูรส
ธรรมชาติมากกกกกกกกก

คำตอบคงเป็นเพราะมันอร่อย
เหตุผลที่ฟังดูไม่มีเหตุผล
แต่เหตุผลแบบนี้แหละที่ทำให้มันขายดี

และในสถานการณ์ที่ทั้งคู่กำลังห้ำหั่นกันอย่างนี้
เคยแอบคิดว่า

โค้กคงไม่อยากให้มีเป๊ปซี่วางขาย
และเป๊ปซี่ก็คงไม่อยากให้มีโค้กวางขายเหมือนกัน

เพราะถ้าไม่มีคู่แข่งก็คงหวานหมู เสร็จกูคนเดียว
เป็นตลาดแบบผูกขาด
เหมือนที่ร้านอาหารบางร้าน มีขายแต่โค้ก
ต่อให้เราสั่งเป๊ปซี่ไป ก็จะได้โค้กมาอยู่ดี

แต่ถ้าเกิดเหตุการณ์อย่างนั้นขึ้นมาจริงๆ
คงไม่ดีต่อทั้งสองยี่ห้อแน่ๆ

ทั้งสองยี่ห้อต้องการให้อีกยี่ห้อยังคงอยู่
เป็นคู่กัดกันเรื่อยไป
เพราะถ้าโค้กขาดเป๊ปซี่ หรือเป๊ปซี่ขาดโค้ก
มันอาจจะทำให้ตัวตนของตลาดน้ำดำค่อยๆหายไป
ทำให้ผู้คนลดทอนความสำคัญของน้ำดำโดยรวมไป
แล้วในที่สุดคนที่เหลืออยู่เพียงคนเดียว
โดยไม่มีคู่แข่ง ก็อาจจะต้องตรอมใจตายตามคู่แข่งไปด้วย

แต่ถ้าทั้งสองยังอยู่สู้กัน มันคงเป็นการสู้ในลักษณะ
ถ้อยทีถ้อยอาศัย กัดกันเล็กๆน้อยๆ
พอให้ผู้คนสนุกสนานกับการแข่งขัน
และไม่โดนกระแสต่างๆที่ไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
มาสั่นคลอนเม็ดเงินของทั้งคู่เป็นแน่

มันคงเหมือนที่ในการ์ตูนหลายเรื่องเคยบอกไว้
ว่ายิ่งคู่แข่งเก่งเท่าไหร่ เราเองก็จะยิ่งเก่งขึ้นเท่านั้น

เพราะถ้าไม่มีใครให้แข่งด้วย เราเองอาจจะเริ่มหละหลวม
ไม่ตั้งใจเหมือนเดิม เพราะมั่นใจว่าเราเก่งที่สุด
และค่อยๆโดนความมั่นใจนั้นกลืนกินไปทีละน้อย

วันศุกร์ที่ ๑๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๐

Oh Shit,It's Friday.

ปกติแล้ววันศุกร์มันเป็นวันคืนที่รื่นรมณ์ของคนทำงาน
เพราะจะได้หยุดเสียที หลังจากเหนื่อยมาหลายวัน
ร้านรวงต่างๆทั้งที่อโคจร และไม่ อโคจร
ก็จะแน่นขนัดไปด้วยบรรดาสิงห์นักเที่ยวทั้งหนุ่มสาว
ร้านอาหารก็จะขายดิบขายดี
ที่ช้อปปิ้งก็จะพลุกพล่านไปด้วยผู้คน

ในช่วงที่ผมยังคึกคะนองกับการออกเที่ยว
ที่เพื่อนๆบอกว่าเป็นช่วงเด็กใจแตก
เคยออกเที่ยวกลางคืนติดต่อกันถึง 8 ศุกร์
จากคนที่ไม่เคยเที่ยว ก็ได้ไปกันจนทะลุปรุโปร่ง

สาเหตุที่ทำให้ต้องหยุดเที่ยว คงต้องยกความดีความชอบให้พี่วุต
วันนั้น พี่วุตมาชวนว่า
"อู๋ ไปเที่ยวเป็นเพื่อนกูหน่อย เดี๋ยวกูไปส่งมึงที่บ้านด้วยเลย"
ข้อเสนอดีขนาดนี้ปฏิเสธไปคงไม่ดี
ทุ่มนิดๆไปถึงร้านนั่งเล่น เพราะได้รับมอบหมายมาจองโต๊ะก่อน

แต่แล้วค่ำคืนที่น่าจะหฤหรรษ์ ก็พลันกลับตาลปัตร
โดนเบียดจากทุกทิศทาง ซ้าย-ขวา-หน้า-หลัง
ด้านข้างๆยังดีเพราะเป็นสาวสวย
ปัญหาอยู่ที่ด้านหลังที่เจอกลุ่มกระเทยฉลองวันเกิด
โต๊ะสำหรับ 4 คน พี่แกยัดมา 15 มันยืนกันได้ยังไงวะ
อ๋อ ก็มาเบียดที่กูไง

อดทนกันถึง 4 ทุ่ม พี่วุตหาร้านใหม่ได้โดนพลัน
ย้ายร้านโว้ย ไปเอสคูโด้ แอร์เย็น โต๊ะใหญ่ ได้โซฟา
พอไปถึงก็กระจ่างว่าทำไมถึงได้โต๊ะดีขนาดนั้น
เหตุผลก็คือ ไอ้โต๊ะที่ว่ามันอยู่ใต้ลำโพง
ตุบ ตุบ ตุบ ตุบ ตุบ ตุบ ตุบ
มิน่าไม่มีคนเลย
ตุบ ตุบ ตุบ ตุบ ตุบ ตุบ ตุบ
ง่วงแล้วด้วยสิ
ตุบ ตุบ ตุบ ตุบ ตุบ ตุบ ตุบ

จบจากร้านนั้น ราวๆตี 2 ครึ่ง
ตุบ ตุบ ตุบ ตุบ ตุบ ตุบ ตุบ
ตุบ ตุบ ตุบ ตุบ ตุบ ตุบ ตุบ
เสียงยังคงก้องอยู่ในหู
นึกว่าจะจบการเที่ยวแล้วได้กลับบ้านนอน
พี่วุตยังไม่หนำใจ ขอไปอีกร้าน
ขอตัดบทอย่างรวดเร็ว เพราะไม่ว่าจะร้านไหน
ก็มีแต่กิจกรรมเดิมๆ
ยืน ตะโกน เบียดตัวไปฉี่ เบียดตัวกลับมายืน ดื่ม
ยืน ตะโกน เบียดตัวไปฉี่ เบียดตัวกลับมายืน ดื่ม

และปิดท้ายการเที่ยวด้วยการไปกินข้าวมันไก่ประตูน้ำตอนตี 5
พี่วุตมาส่งที่บ้านตามสัญญาตอน 6 โมงเช้า
ปัญหาของวันนั้น คือ ต้องไปธุระกับแม่ตอน 7 โมง
พอกลับมาถึง ก็อาบน้ำ แต่งตัว ออกไปกับแม่ต่อทันที
จึงทำให้เลิกเที่ยวไปได้หลายเดือนด้วยความเข็ดขยาด

แต่พอไม่เที่ยว ก็เบื่ออีก
ครั้นจะกลับบ้านนอนเล่นก็เบื่อ
หรือจะให้กลับไปคิดงานต่อก็ยังขี้เกียจ
สุดท้ายก็เลยไม่มีอะไรทำอยู่ดี
เที่ยวก็เบื่อ ไม่เที่ยวก็เบื่อ
เบื่อที่จะต้องไปเบียดกับคนเยอะๆถ้าจะออกไปไหน
เบื่อที่ไปเที่ยวเพื่อแก้เบื่อ แต่กลับมายิ่งเบื่อกว่าตอนไป
เบื่อที่จะกลับไปนั่งเฉยๆที่บ้าน ถ้าไม่ออกไปไหน
เบื่อที่จะต้องอ่านหนังสือเล่มเดิมซ้ำๆ
ในเวลาที่ไม่มีหนังสือเล่มใหม่ให้อ่าน

แล้วก็จบด้วยการนอนอยู่เฉยๆ
ชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า
จนกว่าจะหลับไปโดยไม่รู้ตัว

จนเป็นความกลัวที่เกิดขึ้นจับใจทุกสุดสัปดาห์ว่า
ชิบหาย!! นี่มันวันศุกร์นี่หว่า
ซึ่งเป็นหัวข้อของวันนี้
ที่ขอหยิบยืมเอามาจากโฆษณาชิ้นหนึ่ง
ของ Saatchi&Saatchi Bangkok
ที่นำเสนอ Corperate Culture ของบริษัท
ได้อยางแนบเนียน และกวนอารมณ์อย่างที่สุด
ซึ่งถ้าจะให้แปลเป็นไทยและยังคงได้อารมณ์อยู่
ก็คงได้เนื้อความประมาณนี้

แล้ววันนี้ผมก็ยังตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันซะด้วย

When The Lies Go White.

คนมักบอกกันว่าความรักทำให้เราแสดงความจริงใจต่อกันอย่างแท้จริง
คนรักกันย่อมจริงใจต่อกัน ไม่มีอะไรปิดบัง

แล้วคุณเคยโกหกคนที่คุณรักบ้างไหม
ถ้าการโกหกนั้นทำให้คนที่คุณรักสบายใจ
ถ้าโกหกแล้วไม่เสียหายอะไร ซ้ำยังได้ความสบายใจ
แต่ถ้าเปิดเผยทุกสิ่ง แล้วความจริงมันกลับมาทำร้ายคุณอย่างไม่เกรงใจ
แล้วทีนี้อะไรคือเส้นแบ่งระหว่างความจริงใจ กับการปิดบัง

แต่กับคนที่คุณเกลียดคุณอาจจะจริงใจกับเค้ามากกว่าคนที่คุณรัก
เพราะคุณไม่ชอบอะไร คุณก็ด่าไป พูดออกไปอย่างไม่เกรงใจ
เพราะคุณเกลียดเค้า ไม่ต้องรักษาน้ำใจ
ยิ่งถ้าความจริงนั้นทำให้มันเจ็บปวดได้เท่าไหร่ ยิ่งดี
ใครจะไปคิดว่าสุดท้ายเรากลับจริงใจต่อคนที่เราเกลียดมากกว่าคนที่เรารักไปเสียฉิบ

แต่ถ้าลองมองอีกมุม ถ้าการโกหกทำให้คนที่คุณเกลียดเป็นทุกข์ เราก็พร้อมที่จะทำ
ทีนี้ความต่างที่ผมค้นพบมันไม่ได้อยู่ที่กระบวนการ
มันอยู่ที่ผลลัพธ์ที่เราต้องการต่างหาก

ถ้าเรารักใครเราก็ย่อมปราถนาให้คนคนนั้นเป็นสุขเสมอ
แม้บางทีความสุขนั้นอาจอาบเคลือบด้วยความไม่จริงใจเล็กน้อยถึงปานกลาง
แต่ในส่วนมากแล้วมักจะเป็นความจริงใจเน้นๆ

ขอสารภาพตรงนี้ว่าบางทีผมก็เคยโกหกอยู่เหมือนกัน
ทั้งโกหกเพื่อเอาตัวรอด
โกหกเพื่อให้คนอื่นสบายใจ
โกหกเพื่อให้คนอื่นทุกข์ใจ
โกหกเพื่อให้ตัวเองสบายใจ
โกหกทั้งๆที่ไม่มีอะไร
โกหกคนที่ผมรัก
โกหกคนที่ผมเกลียด
โกหกคนที่ผมเจอเป็นครั้งแรก
โกหกคนที่ผมเจอเป็นครั้งสุดท้าย
อาจจะฟังดูเลวร้ายพอสมควร
แต่พอย้อนไปมองดู กลับไปอ่านไดอารี่เก่าๆ
ก็คงต้องยอมรับว่าเราทำลงไปจริงๆ
ทั้งจงใจทำ ไม่ได้จงใจ บางทีทำไปโดยไม่รู้ตัว
แต่หลายทีที่ทำไปโดยรู้ตัว และสถานการณ์บีบบังคับ

มีเรื่องเล่าเรื่องนึงที่ถูกใจมากเลยอยากเอามาเล่าให้ฟังกัน

ศรีธนญชัยนึกสนุกขึ้นมาเลยไปท้าพนันข้าราชการผู้ใหญ่
ว่าเค้าสามารถอ่านใจและล่วงรู้สิ่งที่คนคิดได้
ใครล่ะจะไปเชื่อ ถึงมันทำได้จริง
ก็บอกว่าไม่จริงซะก็จบ โดนแน่ๆ ไอ้ศรี
จึงเกิดวงเงินพนันสะพัดหลักหลายพันตำลึงในแวดวงราชการ
โดยไปชิงดำกันที่หน้าท้องพระโรง
โดยมีพระเจ้าเจษฎา กษัตริย์ของกรุงเป็นพยาน

พอถึงเวลานัด ศรีธนญชัย ก็ก้าวออกมา
ข้าราชบริการทุกท้านก็กระหยิ่มในใจ เตรียมรับทรัพย์ก้อนโต
แล้วพระเอกของเราก็พูดว่า ข้าอ่านใจทุกท่านแล้ว พบว่า ในใจของทุกท่าน
ล้วนแล้วแต่มีความลงรักภักดีต่อพระเจ้าเจษฎา ยิ่งชีวิตของทุกคน

.....
.....
.....

แล้วทีนี้ใครจะไปกล้าพูดว่าไม่จริง ข้าไม่ได้คิดอย่างนั้น
ข้าคิดถึงเงินก้อนโตอยู่ ข้าคิดถึงการเลื่อนตำแหน่ง
ข้าคิดถึงเมียที่บ้าน ข้าคิดถึงข้าวเที่ยง
ทุกคนได้แต่ปรบมือให้พร้อมกับพูดว่า
แม่นยำจริงๆ แม่นยำจริงๆ แม่นยำจริงๆ


ถ้าเคยพบเจอใครที่บอกว่า ผมไม่เคยโกหกมาก่อนในชีวิต
นั่นล่ะ มันกำลังโกหกเป็นครั้งแรกแล้ว


Hate To Love, Love To Hate.

รัก เกลียด
อะไรที่ดีต่อชีวิตเรา
คนเรามีทั้งคนรักและคนเกลียด
มีทั้งรักใครและเกลียดใคร
มีทั้งถูกรักและถูกเกลียด

สิ่งที่น่าจะแย่ที่สุดคือไม่มีทั้งคนรักและไม่มีทั้งคนเกลียด
กลางๆ เรื่อยๆ เป็นค่าเฉลี่ยของสังคม

ผมมีชีวิตอยู่ท่ามกลางคนทั้ง 2 พวก ทั้งรักและเกลียด
ทั้ง 2 พวก เป็นพลังขับเคลื่อนให้ชีวิตเดินไปข้างหน้าได้ทุกวี่ทุกวัน
และก็รู้ว่าผมเองมีทั้งคนรักและคนเกลียด และดีใจที่มี
ใช้ชีวิตให้คนรักดูไม่ยากเท่าไหร่
แต่ใช้ชีวิตให้คนเกลียดนี่สิยาก
แถมยังคงมีความสุขดี ทั้งๆที่มีคนเกลียดเราด้วย

บอกตามตรงว่าถ้าคนที่ผมเกลียดไม่มีอยู่ในโลกอีกต่อไป
ชีวิตคงไม่สนุกเท่าทุกวันนี้
ไม่งั้นคงไม่รู้จะไปด่าใคร ไม่มีอะไรให้มองแล้วทำตรงกันข้าม
เวลาเบื่อๆจะมานั่งหาข้อเสียของใคร

แต่บางครั้งลองมานั่งฉุกคิดดีๆ
คนที่ผมเกลียดบางคนล้วนแล้วแต่ทำอะไรที่ผมก็เคยทำ และชอบทำด้วยซ้ำ
แล้วทีนี้ตกลงเค้าทำถูกหรือทำผิด
ถ้าทำเหมือนผม ก็น่าจะถูกไม่ใช่หรือ
ถ้าทำไม่เหมือนสิถึงจะต้องผิด

ทีนี้ก็ได้คำตอบให้ตัวเองว่า อาจเป็นเพราะว่า
ที่จริงแล้ว ผมก็เกลียดตัวเองในบางจังหวะอยู่ตะหงิดๆ
เกลียดที่ตัวเองทำอะไรที่ไม่ดี แต่เลิกไม่ได้ ก็เลยปล่อยเลยตามเลย
ทำสิ่งนั้นๆต่อไป แล้วหันไประบายออกที่คนอื่นๆที่ทำเหมือนเรา

ในบางอารมณ์ผมนึกรักคนที่ผมเกลียดมากพอๆกับที่ผมเกลียดพวกเค้า
รักที่เค้าน่าเกลียด
รักคนแซงคิวได้หน้าตาเฉยๆทั้งๆที่คนอื่นต่อคิวมา 15 นาที
รักคนที่แย่งเข้ารถเมล์และBTS ทั้งๆที่คนข้างในยังไม่ได้ออก
(ถามจริงๆรถแน่นๆแบบนี้ ถ้ากูยังไม่ออก มึงจะเอาที่ที่ไหนเข้ามาวะ)
รักคนที่ไม่ตรงต่อเวลา แต่พอมันมาถึงก็บอกว่า ไปยังวะ อย่าเสียเวลาเดะ
รักลูกค้าที่ยิงงานทิ้งอย่างไม่มีเหตุผล "ไม่รู้ว่าทำไมไม่ชอบ แต่รู้ว่าไม่ชอบ"
รักคนที่ทำงานเช้าชามเย็นชาม แล้วปลายปีได้โบนัสแถมเลื่อนตำแหน่ง
รักคนที่ประจบสอพลอ เอาดีเข้าตัว เอาชั่วเข้าคนอื่น
รักคนที่ไม่เก่ง แล้วคิดว่าตัวเองเก่ง
รักนักการเมืองที่ย้ายพรรคได้ง่ายดาย
ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ไม่นาน พึ่งออกมาด่าพรรคใหม่ไว้ซะไม่มีชิ้นดี
รักเด็กอินดี้ตัวปลอมทั้งหลายที่อยากเป็นตัวของตัวเอง
แต่พากันทำตัวเลียนแบบกันไปมา เป็นกลุ่มใหญ่
จนมีคนที่เป็นตัวของตัวเองกว่า 30 คนที่ทำทุกอย่างเหมือนกันเป้ะ
รักพระที่ออกมาใบ้หวย บอกเลขเด็ด
รักพระที่สูบบุหรี่ปุ๋ยๆ แล้วมาบอกให้คนอื่นเลิกกินเหล้า
รักคนหัวโล้นในชุดเหลืองที่มาเดินหาซื้อ mp3 กลางพันทิพย์พลาซ่า
รักไอ้คนขายที่หยิบเอาแคตตาลอกชุดใหญ่ให้อย่างรวดเร็ว

ว่าแต่ว่า คุณมีคนที่เกลียดไว้รักแล้วหรือยัง


Too Late To Late.

ประเทศไทยเป็นประเทศที่คาดว่าคงจะใช้หมายกำหนดการได้เปลืองที่สุด
เพราะไม่ว่าจะมีงานอะไร จะของรัฐบาลหรือของเอกชน พี่ไทยสายได้ตลอด
เริ่มงาน 8.00 เดี๋ยวจะต้องไหลๆไปเริ่มราวๆ 8.15 ไม่ก็ 8.30
ขนาดงานรับปริญญาที่ว่าเฉียบขาดสุดๆ ยังไม่วายสายได้
อันนี้คงต้องไปถามกันเอาเองว่าสายเพราะคนรับหรือว่าใครที่สาย

โบราณท่านว่าไว้ ว่าจะทำอะไรต้องตรงเวลา
ถ้านัดใครไว้พยายามไปก่อนเวลา อย่างแย่ที่สุดคือให้ไปตรงเวลาพอดี
ถึงขนาดมีคนสอนกันว่าให้ตั้งเวลานาฬิกาให้เร็วกว่าปกติไว้ 10 นาที
อย่างน้อยมันก็ทำให้เราไปสายได้จรงๆ 10 นาที เพราะมันจะตรงเวลาพอดี
ถ้าเราไปตรงเวลาเรา ก็เท่ากับว่าเราไปก่อนเวลา 10 นาที
แต่ถ้าเราไปก่อนเวลา 10 นาที เราก็จะมีเวลาอีก 20 นาทีก่อนเวลานัดหมาย
พิมพ์เองชักจะงงเอง ว่าตกลงอันไหนเวลาจริงเวลาหลอกกันแน่

ตอนเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัย คณะของผมถือได้ว่าขึ้นชื่อสุดๆเรื่องเวลา
ลองทายว่าด้านไหน คำตอบคือ ด้านมาสายตลอด
จนมีคำพูดอันภูมิใจว่า เวลา JC คือสายกว่าเวลานัดจริง 1 ชั่วโมงเสมอ
......

แล้วทีนี้ปัญหาที่ตามมาก็คือ
บางคนคิดว่ามันเป็นหน้าที่ของทุกคนที่ต้องมาตรงเวลา
ทุกคนคิดว่าหลายๆคนคงจะมาสาย
แต่สุดท้ายแล้วไม่มีใครเลยที่มาตรงเวลา

เรื่องทีเ่กิดขึ้นคือ เวลานัดจริง 9 โมง
8.50 จะมีไอ้งั่งบางคนที่เชื่อคำสอนที่ว่าต้องมาก่อนนัด 10 นาทีมาเพื่อรอว่า 9 โมงจะมีใครมามั้ย
9.00 ไอ้งั่งคนนั้นนั่งอยู่คนเดียวอย่างกระสับกระส่าย
9.30 มีคนโทรมาแล้ว มันโทรมาถามว่ามีใครมายัง ถ้ายังมันจะได้ยังไม่ออกจากบ้าน
10.00 ผู้คนเริ่มทยอยกันมา
และในที่สุด 10.30 คนจึงมากันครบ

การนัดในแต่ละครั้งก็จะมีคนผลัดกันเป็นไอ้งั่งสลับกันไป
จนเมื่อทุกๆคนได้ลิิมรสชาตืนั้นแล้ว ก็ได้พุทธิปัญญาว่า
ในเมื่อนัดแล้วมาสายกันนัก เราต้องนัดหลอก
คือถ้าอยากใ้ห้มา 9 โมง เราต้องนัด 8 โมง
แต่หลังจากนัดแล้ว ไอ้คนนัดก็กลัวผิดบาปที่ไปหลอกคน
เลยต้องมาเองด้วยตอน 8 โมง

เรื่องทียังคงเ่กิดขึ้นก็คือ เวลานัดจริง 8 โมง
7.50 จะมีไอ้งั่งบางคนที่เชื่อคำสอนที่ว่าต้องมาก่อนนัด 10 นาทีมาเพื่อรอว่า 8 โมงจะมีใครมามั้ย
8.00 ไอ้งั่งคนนั้นนั่งอยู่คนเดียวอย่างกระสับกระส่าย
8.30 มีคนโทรมาแล้ว มันโทรมาถามว่ามีใครมายัง ถ้ายังมันจะได้ยังไม่ออกจากบ้าน
9.00 ผู้คนเริ่มทยอยกันมา
และในที่สุด 9.30 คนจึงมากันครบ

คุ้นๆมั้ยครับ วงจรนี้

และวันนี้ที่งาน Cannes Prediction ที่ House RCA
กำหนดการเริ่มงาน 18.30 กว่าจะได้ดูงานจริงปาเข้าไปเกือบ 20.30
โอ้...?
มันยังคงตามมาหลอกหลอนอยู่ไม่เสื่อมคลาย
ฤาคนไทยจะต้องไม่ตรงต่อเวลากันจริงๆ

มีคนถามว่าแล้วจะรีบมาไปทำไม เอาเวลาไปทำอย่างอื่นดีกว่า
คำตอบของผมคือ ก็ถ้ารีบมาจะได้เสร็จทุกอย่างได้ตรงเวลา
แล้วจะได้เอาเวลาไปทำอย่างอื่นดีกว่า

ทีนี้คำถามอยู๋ที่ว่า ไอ้เวลาที่ว่าเอาไปทำอย่างอื่นดีกว่า
มันควรจะเป็นเวลาก่อนหรือหลังการนัดดี...


What a Routine Day.

Routine เป็นคำที่หลายคนมักใช้ในทางลบ กับความเหนื่อยหน่ายซ้ำซากของชีวิต
ใช้กับการที่ต้องตื่นเช้ามาในวันจันทร์แล้วก็ออกเดินทางไปทำงาน กลับมาอย่างสะบักสะบอมตอนเย็น
แล้วก็เป็นอย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าไปอีก 4 วันจนกระทั่งถึงวันหยุด แล้วก็หยุดได้อีกนิดๆหน่อยๆ
ก็ต้องวนกลับมาเป็นอย่างเดิมไม่รู้จบ

หลายคนอาจจะคิดว่านั่นเป็นเพราะงานที่ทำอยู่ไม่สนุกล่ะสิถึงได้คิดแบบนั้น
เคยมีฝรั่งคนหนึ่งหล่นวาทะอมตะเอาไว้ว่า
"ถ้าคุณหางานที่ชอบไว้ทำได้แล้ว คุณจะไม่ต้องทำงานอีกเลยตลอดชีวืต"
ช่างคลาสสิคและคมคายเสียนี่กระไร แต่ทุกวันนี้บางคนทำงานที่สนุกและรักอยู่
เคยถามตัวเองมั้ยว่ามันเป็น Routine อยุ่รึเปล่า

บางคนทำงานเพื่อเงิน บางคนทำงานเอามันส์ บางคนทำงานไปวันๆ
บางคนทำงานแก้เซ็ง บางคนทำงานใช้หนี้ และบางคนทำงานเพราะถ้าไม่ทำงานก็ไม่รู้จะไปทำอะไร

ชีวิตอันซ้ำซากที่แสนจะน่าเบื่อ ถูกคนในแวดวงโฆษณาที่ทุกๆคนมีแต่ความครีเอทีฟ ความคิดสร้างสรรค์
แหวกแนวไม่ซ้ำใครอยู่จนล้นปรี่ หยิบยกเอาชีวตแบบนั้นมากระทำย่ำยีจนหมดความสง่าไปโดยสิ้นเชิง
ใครที่ Routine แม่งไม่ครีเอทีฟว่ะ ซ้ำซากแล้วแม่งไม่สร้างสรรค์
คนเหล่านี้รวมไปถึงตัวผมเองในบางอารมณ์ พากันหาวิถีชีวิตแนวใหม่ที่แปลก แตกต่างไม่ซ่ำใคร
ไมว่าจะเป็นทรงผม เสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย รถที่ขับ หนังสือที่อ่าน ลามปามไปถึงรูปแบบการทำงาน
และใช้ชีวิตที่ไม่เหมือนใคร แหม..ช่างแตกต่างและไม่ Routine เสียจริงๆ

แต่จู่ๆผมก็นึกขึ้นมาได้ ว่าไอ้สิ่งที่ทำอยู่ทุกวันนี้มันก็ยังึึคงเต็มเปี่ยมไปด้วยความ Routine อยู่ไ่ม่เสื่อมคลาย
ไอ้การพยายามที่จะหาอะไรใหม่ๆทำ ถ้าเรามองในมุมที่สูงขึ้นมากว่าเดิม มองลงมาดูตัวเอง
เราอาจจะพบว่า ยิ่งเราดิ้นรนที่จะไม่ซ้ำเดิมมากเท่าไหร่ นั่นเท่ากับว่าเรายิ่งตกหลุมการกระทำที่ซ้ำซ่ากมากขึ้นเท่านั้น
เพราะเราจะตกไปอยู่ในบ่วง Routine ในตอนที่ว่า การกระทำซ้ำๆเพื่อได้ผลลัพธฺที่ไม่ซ้ำ
เราไม่ได้ทำอะไรใหม่ทุกวันหรอก เรากำลังทำสิ่งซ่ำๆอย่างเดิมซ้ำแล้วซ้ำอีก นั่นคือการทำสิ่งใหม่นั่นเอง

อย่างเช่นถ้าคนคนหนึงตัดผมทรงใหม่ทุกเดือน เค้าได้ออกจากวงจร Routine ของผมทรงเดิมๆทรงเก่าๆ
เข้ามาสู๋วงจรใหม่ที่ชื่อว่า การตัดผมทรงใหม่ซ้ำแล้วซ้ำอีก อย่งไม่รู้จบ

แล้วทีนี้อะไรคือ Routine เรายังคงจะชื่นชมมัน หลีกเลี่ยงมัน หรือใช้ชีวิตอยู่กับมันกันแน่

ขอสารภาพตรงนี้เลย ว่านอกจากที่ผมเบื่อความ Routine ในชีวิตแล้ว
บางทีผมก็หลงใหลชีวิตที่เป็น Routine อย่างถอนตัวไม่ขึ้นอยู่เหมือนกัน
มันก็ไม่ได้เลวร้ายไปซะทั้งหมดหรอกนะ...

ว่าแต่ว่าเขียน Blog ทุกวันนี่มันก็ Routine ดีนะ




Today is Sunday.

วันนี้วันอาทิตย์ ใช่แล้วครับ วันนี้คือวันอาทิตย์
อาจจะเป็นวันเดียวที่ได้หยุดทำงานของใครบางคน
อาจจะเป็นวันที่สองของการหยุดของใครไม่กี่คน
อาจจะเป็นวันทำงานที่ไม่รู้จักจบสิ้นของใครหลายๆคน
และอาจจะเป็นวันที่ว่างเปล่าของใครอีกหลายคน

วันอาทิตย์ดูจะเป็นวันที่พิเศษเหลือเกินของคนเรา
อย่างที่บอกไว้ข้างต้น กลุ่มมนุษย์เงินเดือนที่ทำงานอาทิตย์ละ 6 วัน ก็จะได้ฤกษฺ์หยุดในวันนี้
ส่วนพวกที่ทำ 5 วัน ก็นอนสบายๆได้อีกวัน
แล้วลองมาคิดดูว่า วันหยุดเราจะทำอะไรกัน ถ้าไม่นอนเล่นอยู่บ้าน ก็ออกไปเดินเล่นนอกบ้าน
หรือถ้ามีใครที่จะไปนอนเล่นนอกบ้าน หรือเดินเล่นอยู่ในบ้านก็คงไม่ผิดอะไร
แต่ใครจะทำแบบนั้นหนอ!!

ถ้าคุณเลือกการออกไปนอกบ้าน คุณคงได้พบกับใครอีกหลายคนที่ต้องทำงานเพื่อให้วันหยุดของคุณสมบูรณ์แบบ
เหล่าคนขับรถทั้งหลายไม่ว่าจะรถเมล์ รถแท็กซี่ รถสามล้อ รถไฟฟ้า รถไฟฟ้าใต้ดิน
วินมอเตอร์ไซด์ และอื่นๆเท่าที่จะนึกออก บางคนที่จับรถอาจจะนึกในใจว่า
กูไม่เกี่ยวโว้ย!! ก็อาจจะจริงซักครึ่ง แต่อย่าคิดจะไปเติมน้ำมันล่ะ
เด็กปั๊มเค้าก็มาทำงานเพื่อเติมน้ำมันให้คุณอยู่ดี

แล้วทีนี้พอเราไปถึงสถานที่ที่เราหมายปองปุ้บ
เราก็จะพบกับกลุ่มคนอีกมากมายที่ออกมาทำงานของเค้าในวันหยุดของเรา
ไม่ว่าจะคนขายของ พนักงานต้อนรับ ยามโบกรถ พ่อครัว เด็กเสิร์ฟ
และใครอีกเยอะที่ตอนนี้ยังนึกไม่ออก

ซึ่งก่อนหน้านี้ผมเองก็ไม่เคยสนใจมาก่อน
ว่าวันหยุดของเราดำเนินไปได้ตามปกติ เพราะกลุ่มคนเหล่านี้นี่เอง
จนกระทั่งวันหยุดที่ผ่านๆมา ตั้งใจว่าจะไปกินข้าว ซื้อของในร้านที่เคยไปเป็นประจำ
แต่แล้วร้านเหล่านั้น กลุ่มคนเหล่านั้น
พากัน หยุด!!!
คงเหมือนที่ ฮอนด้า เคยพูดไว้ในโฆษณาว่า
ถ้าทุกอย่างทำงานของมันไปตามปกติ คุณคงไม่ผิดสังเกตุใช่มั้ย
อืม...นั่นสิ ใครจะไปสนว่าหลอดไฟทำงานยังไงตราบใดที่มันยังส่องสว่าง
แล้วใครจะไปสนว่าพนักงานขายของตามห้างจะทำงานกี่วัน หยุดกี่วัน
แล้วใครล่่ะจะสนใจว่า พนักงานขายตั๋วหนังจะเอาเวลาไหนไปดูหนัง
แล้วใครที่จะไปสนว่าพนักงานขับรถไฟฟ้าจะนั่งอะไรกลับตอนที่รถไฟฟ้าปิดแล้ว
ถ้าเกิดเค้าอยากจะแล่นฉิวสู่กลางใจเมืองกับคนอื่นเขาบ้าง
ใครจะไปสนถ้าวันและเวลาที่เค้าหยุดไม่ทำให้เราเดือดร้อน

ตอนนี้สิ่งที่ผมอยากรู้คือ แล้วคนพวกนั้น เค้าจะทำอะไรในวันหยุดของเค้า
จะมีคนมาคอยบริการเค้า เหมือนที่เค้าคอยบริการเรามั้ย
แล้วเราจะทำยังไงถ้าวันหยุดของเรา ก็เป็นวันหยุดของพวกเค้า
มันจะยังคงเป็นวันหยุดที่น่าอภิรมย์อยู่อีก่มั้ย
เราจะยังคงอยากหยุดอีกมั้ย ถ้าวันนั้นทุกคนในโลกหยุดพร้อมๆกัน

อย่างที่ผมบอก วันนี้ คือ วัีนอาทิตย์