วันพุธที่ ๒๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๐

You Can't Do That ,Because I Want to Do That.

ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง
คำคม สุภาษิตที่ได้ยินกันมานานแสนนาน
และยังคงเป็นจริงอยู่เสมอในสังคมไทย

สิ่งที่เราพบเห็นได้เสมอๆ

ถ้าเราขึ้นรถเมล์แล้วกำลังจะลง
เราจะพบว่าคนที่รอขึ้น มักจะรีบกรูกันขึ้นมา
ทั้งๆที่บนรถยังแน่นไปด้วยผู้คน
ก็ถ้าพวกกูข้างบนยังไม่ลงไป
พวกมึงจะเอาที่ไหนไว้ยืนละโว้ย!!!

ตัดภาพขึ้นมานี่รถไฟฟ้า BTS
ที่เราพึ่งหงุดหงิดจากรถเมล์เมื่อกี้มาหยกๆ
พอประตูรถเปิด หลายคนก็จะรีบพุ่งตัวเข้าไป
ทั้งๆที่คนข้างในยังไม่ทันได้ออกมาเช่นกัน

หลายคนเป็นพวกเดียวกันกับพวกที่กรูขึ้นรถเมล์เมื่อกี้
อีกหลายคนเป็นพวกที่แปรพักตร์ชั่วครู่
ด้วยเหตุผลว่า ก็คนมันรีบ

อีกหลายคนเป็นผู้ถูกกระทำในทุกกรณี
ช่างน่าสงสัยและเห็นใจยิ่งนัก

ทำไมบางทีคนเราก็ทำสิ่งเดิมได้ซ้ำๆ
แต่บางทีก็ทำกลับไปกลับมา
บางครั้งลามปามไปถึงทำในสิ่งที่ห้ามหรือบอกคนอื่นว่าไม่ให้ทำ

ในช่วงเวลาที่รัฐบาลออกมารณรงค์ให้ประชาชนช่วยกันประหยัดไฟ
ตามท้องถนนตอนเช้าๆที่สว่างโร่
เราจะพบว่าไฟตามเสาไฟฟ้ายังติดอยู่
ทั้งๆที่ควรจะปิดไปได้กว่า 3 ชั่วโมงแล้ว
และคาดว่ามันจะถูกเปิดไปจนกว่าจะครบรอบเย็นนี้
ในเวลาที่ควรจะเปิดอีกครั้ง

แล้วจะมาบอกให้พวกช่วยกันประหยัดทำไมครับ?
ในเมื่อพวกพี่ก็ผลาญกันไปไม่ใช่น้อย

และถ้าเหลือบมามองที่ซองบุหรี่
เราจะเห็นป้ายห้ามต่างๆมากมาย
อย่าสูบเลยมันไม่ดี
แก่เร็ว ตายเร็ว เป็นมะเร็ง
ช่างห่วงใยประชาชนเหลือเกิน

แต่ในเวลาเดียวกัน โรงงานยาสูบ สังกัดกระทรวงการคลัง
ก็ปั๊มเงินจากการขายและเก็บภาษีได้กว่าปีละ 5 หมื่นล้านบาท
ก็ถ้าพี่ห่วงพวกผมจริงๆก็อย่าทำขายเองสิครับ
มือขวาทำขาย มือซ้ายเป็นห่วง
ไม่เข้าใจจริงๆ

ทำใหนึกถึงครูตามโรงเรียน
ที่จับเด็กที่สุบบุหรี่มาตีเอาๆ
แต่ตัวเองหลบไปอัดบุหรี่หลังห้องพักครูอยู่ปุ๋ยๆ

มีเรื่องนึงที่ประทับใจมาก

เรื่องของครูที่อัสสัมชัญ โรงเรียนของผม
ม.สุรศักดิ์ ที่ใครๆเรียกว่า เซี่ยม
แก เป็นครูที่เฮี๊ยบมาก
วันนึงแกก็ได้ตัวเด็กที่สูบบุหรี่ทั้งๆที่ถูกจับได้หลายหนแล้ว
และยังถูกจับได้อีก
ก็ต้องทำการทำโทษเพื่อให้เข็ดหลาบ
ในขณะที่แกกำลังสั่งสอนเด็กคนนั้นอยู่
ว่าทำไม โง่ สูบบุหรี่มันไม่ดี สอนไม่เคยจำ

เด็กคนนั้นก็โพล่งขึ้นมาว่า
"ทีมาสเซอร์ยังสูบเลย" (ที่โรงเรียนจะเรียกครูว่ามาสเซอร์)

ม.สุรศักดิ์ หรือ เซี่ยมของเด็กๆ หยุดตี
แล้วบอกเด็กคนนั้นว่า
"ได้ ชั้นจะหยุดสูบ แล้วแกอย่าสูบให้ชั้นเห็นอีกนะ"
นับตั้งแต่วินาทีนั้นจนถึงวันนี้ ม.สุรศักดิ์ไม่เคยแตะบุหรี่อีกเลย
นอกจากหยิบบุหรี่ที่เด็กสูบมาทิ้งลงถังขยะ

แต่ก็ยังมีครูอีกหลายคนในประเทศนี้
ที่ตัวเองสูบ แต่ก็ยังตีและด่าเด็กอยู่เหยงๆ

What Left at Last.

เมื่อคืนนี้ไฟห้องนอนที่มีอยู่ก็ดับลงจนเหลือเพียงดวงเดียว
จากที่มีอยู่ทั้งหมด 6 ดวง

เป็นเรื่องน่าแปลกที่ว่า ตอนแรกมันมี 6 ดวง
พอมันดับไปทีละดวงสองดวง
แรกๆก็ว่ามืดไป แต่พอนานๆเข้าก็เริ่มชิน
แล้วพอมันค่อยๆดับเพิ่ม
ก็ค่อยๆชินกับแสงที่น้อยลงทุกวันทุกวัน

ก็เลยไม่ได้คิดอะไรมาก จาก 6 ก็ยังมีอยู่ 5
จาก5 ยังมีอีก 4
จนกระทั่งมาเมื่อวานนี้ มันเหลืออยู่ดวงสุดท้ายแล้ว

ความมืดมิดเริ่มมาเยือน
เอาล่ะ ทีนี้ก็ต้องรีบไปหามาติดให้เท่าเดิม
คงจะรู้สึกสว่างวาบจนต้องปรับตัวซักพักทีเดียวเชียว

คงจะจริงอย่างที่ใครเค้าบอกว่า
เราจะเห็นค่าของสิ่งใด ก็ต่อเมื่อเราเสียมันไปแล้ว

เพราะไอ้ตอนที่ยังมีไฟ 5-6 ดวง
เราไม่เคยสนใจไฟดวงที่ 2 เลย
เพราะมันก็เป็นอีกแค่ 1 จากทั้งหมด
แต่พอมันเหลือ 2 ดวง มันจะเป็นครึ่งหนึ่งจากทั้งหมด
และตอนนี้มันคือทั้งหมดแล้ว
ถ้าดับไปอีก คงไม่ต้องทำอะไรกันล่ะทีนี้

คงเหมือนคนรวยที่มีเงินเป็นหลักร้อยล้านพันล้าน
จะใช้เงินไม่กี่หมื่นบาท คงไม่ต้องคิดเยอะนัก

แต่กับคนที่หาเช้ากินค่ำ จะหยิบจะซื้ออะไร
คงต้องคิดแล้วคิดอีก แม้มันจะราคาไม่กี่ร้อย
แต่กับเงินหมื่นที่มีทั้งชีวิต มันคงดูมีค่ามากเหลือเกิน

เคยอ่านการ์ตูนอยู่เรื่องหนึ่ง
มีตัวละครตัวหนึ่ง รวยมากๆ
ใช้เงินเป็นเบี้ย เอาเงินมาโปรยแจกที่โรงเรียนทุกๆวัน
ไม่พอใจอะไรก็เอาเงินฟาด

แต่วันหนึ่งบ้านของเค้าล้มละลาย
จนไม่มีที่ซุกหัวนอน
แล้วเค้าก็ถูกตัวเอกของเรื่องใช้งานให้ไปเก็บเงิน
ที่เค้าเองโปรยทิ้งๆขว้างๆ
จนได้มากว่าร้อยล้าน
แต่เค้าได้รับเพียง 100 เยน เป็นค่าจ้าง
แต่มันเป็น 100 เยน ที่มีค่าที่สุดในชีวิตของเค้าทีเดียว

แต่ในชีวิตจริง จะมีใครที่รวยได้ขนาดนั้น
และจะมีใครที่ซวยได้ขนาดนั้น
และจะมีใครที่เรียนรู้ได้ในเวลาแบบนั้น

ขอยกเพลงของโมเดิร์นด๊อกมาประกอบบทความนี้
ด้วยความเคารพอย่างสุดซึ้ง

"อาจไม่เคยอยู่ในสายตา เหมือนเธอไม่รู้ว่ากำลังหายใจ
หากลองคิดดู สิ่งที่อยู่ ก่อนจะทิ้งไปจากวันนี้ จะไม่เสียใจ"

นั่นสิ ถ้าไม่ถึงวันสิ้นลมหายใจ
ใครจะมาสนใจสมหายใจกันเล่า

ลองมองดูดีๆว่าเราได้ละเลยอะไรเล็กๆน้อยๆในชีวิตไปบ้าง
เราพูด ครับ/ค่ะ กับผู้อาวุโสอยู่รึเปล่า
เราใช้คำว่า ค่ะ/คะ ถูกความหมายบ้างมั้ย
เราเคยเอาเหรียญ 50 สตางค์ที่ทิ้งขว้างมารวมกันมั้ย ว่ามันได้กี่บาท

Inspiration?

แรงบันดาลใจ
หรือเลียนแบบซึ่งหน้า

ใครจะไปรู้ว่าลอกไม่ลอก
ขึ้นอยู่กับคนทำเท่านั้นที่จะรู้ตัวเอง

เค้าว่ากันว่าประเทศญี่ปุ่นใช้การก้อปให้เหมือนแต่ถูกกว่า
สร้างจนตัวเองร่ำรวยได้

โดยการซื้อเอาเทคโนโลยีจากชาติตะวันตก แล้วมาทำให้ถูกกว่า
ต่อมาทำจนดีกว่า

และไม่นานมานี้ก็กันว่า จีนกำลังทำแบบเดียวกันกับญี่ปุ่น
และใช้โมเดลเดียวกันในการสร้างความร่ำรวย

และในยุคที่ลิขสิทธิ์เป็นสิ่งมีค่ายิ่ง
เพราะสิ่งใหม่ที่เพิ่งถูกคิดขึ้นมาได้
อาจถูกลอกไปในพริบตา

ตัวอย่างที่อุบาทว์สุดๆ
ไม่แน่ใจประเทศที่ทำนัก แต่อ่านมาว่า
ไม่ญี่ปุ่นก็อเมริกานี่แหละ
พยายามจะจดลิขสิทธิ์และสิทธิบัตรให้กับ
"ข้าวหอมมะลิ"
ว่าเค้าเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์
ทำได้ลงคอนะเนี่ย

คนไทยเองก็มีชื่อเสียงในด้านนี้ไม่ใช่น้อย
และเท่าที่ฟังมาก็ไม่รู้ควรจะภูมิใจดีมั้ย

เพลย์สเตชั่น เครื่องเล่นเกมส์ที่ฮิตไปทั่วโลก
ราคาเครื่องเรือนหมื่น
ราคาเกมส์แผ่นละพันกว่าบาท

ซื้อเครื่องได้ แต่ไม่มีปัญญาเล่น เพราะเกมแพง
พี่ไทยนำมาดัดแปลงจนเครื่องสามารถเล่นแผ่นก้อปปี้ได้
เหลือแผ่นละ 100 ถ้วนๆ ซื้อ 5 แถม 1

จนทางญี่ปุ่นคงสังเกตุได้ว่าที่ไทยซื้อกันแต่เครื่อง
มันไม่ซื้อเกมกันเลย จะซื้อไปนั่งดูเฉยๆก็ใช่ที่

จนทราบความว่ามันก้อปเกมเล่น
จึงได้กลับไปพัฒนาเครื่องรุ่นใหม่
เพลย์ทู
และตอนที่เปิดตัวเครื่องรุ่นใหม่นี้
วิศวกรและเจ้าของบริษัทโซนี่
ยืนยันว่าเครื่องรุ่นนี้สร้างมาจากมันสมองอัจฉริยะ
ของเหล่าวิศวกรของโซนี่
ไม่มีทางแก้ไขและก้อปปี้ได้เด็ดขาด

3 เดือนต่อมา ณ สะพานเหล็ก
ผลงานชิ้นโบแดงของเหล่าศิษย์เก่าสถาบันทางเทคโนโลยีระดับโลก
ต้องตกตะลึงกับผลงานของเหล่านักศึกษา ปวช.ชาวไทย
ที่ดัดแปลงเครื่องพร้อมเล่นแผ่นก้อปเสร็จสมบูรณ์

หรือการดัดแปลงมันจะง่ายกว่าการคิดและสร้าง
หรือคนไทยเก่งจริงๆ แต่ใช่ความเก่งไม่ถูกทาง

ลิขสิทธิ์เพลงที่ใครต่อใครพากันถามหา
ค่ายยักษ์ใหญ่ของไทยพากันเรียกร้องสิทธิ์อันชอบธรรม
ว่าถูกเหล่า mp3 แย่งยอดขาย

เค้าบอกว่า เค้าถูกปล้นทรัพย์สินทางปัญญา
ในอีกมุม มีคนสวนมาว่า ก็เพลงที่มึงทำ มึงก็ลอกเมืองนอกเค้ามา
ค่ายเพลงตอบกลับ โน้ตมันมี แค่ 7 ตัว มันต้องมีซ้ำกันบ้าง
ถูกของค่ายเพลง ไม่ว่าจะกุญแจซอล หรือกุญแฟ โน้ตมันมี 7 ตัวจริง

แต่ไอ้การที่โน้ต 7 ตัว รวมไปถึง ไล่บันไดสูงต่ำ
มันออกมาเรียงตัวกันได้อย่างอัศจรรย์จนเหมือนกันเด้ะเนี่ย
บังเอิญจังเนาะ

วันอาทิตย์ที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๐

Power of Network.

รวมกันเราอยู่ แยกหมู่เราตาย

ฟังดูน่าสนใจกับยุคสมัยที่ทุกๆคนจ้องแต่จะเอาตัวรอด
ถ้าอยากเอาตัวรอด ต้องรวมกลุ่ม
ทีนี้ก็จะไม่มีการหนีเอาตัวรอดคนเดียวได้อีกต่อไป

ร้านค้าต่างๆดูจะเป็นตัวอย่างที่ดีของกฏข้อนี้
ร้านที่ขายของประเภทเดียวกันมักจะจับกลุ่มอยุ่ในละแวกเดียวกัน
ทั้งนี้เพื่อให้คนที่จะซื้อนึกถึงได้ก่อน
ว่าถ้าอยากได้ของประเภทนี้ต้องมาบริเวณนี้

นับว่าเป็นกลยุทธฺ์อันชาญฉลาดของพ่อค้าแม่ค้ารุ่นเก่า
ที่สืบทอดมาถึงรุ่นปัจจุบัน

เครื่องยนตร์ อะไหล่รถเก่า ต้องเซียงกง
เดิมอยู่แถวๆจุฬา ตอนนี้ย้ายไปบางนาแล้ว

ยางรถยนตร์ต้องวงเวียน 22

คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์่ต่างๆ ขอให้มาที่พันทิพย์

แต่ถ้ามือถือขอให้ไปที่มาบุญครอง

และเมื่อเราไปถึงแถบนั้นๆ
เราจะพบร้านค้าจำนวนมากที่ขายของเหมือนๆกัน
ในราคาที่ไม่ต่างกัน

ปัญหาที่เกิดขึ้นในตอนนั้นคือ แล้วกูจะซื้อกับใครดีวะ
มันดูเหมือนกันไปซะหมด

ลงท้ายก็คือร้านไหนคนมุงๆเยอะ ก็ไปดูที่ร้านนั้น
พอคนซาก็ย้ายร้าน

ในการไปซื้อของแบบนี้ในย่านแบบนี้
สิ่งที่จำเป็นมาก คือ ผู้รู้
ที่จะพาเราซอกซอนไปจนเจอร้านที่ถูกต้อง
ราคาถูก คุณภาพดี

บางครั้งเป็นเจ้าถื่น
บางครั้งเป็นเซียนทางด้านนั้นโดยตรง

แต่ถ้าเราไปเอง โอกาสซวยสูงมาก

ในแถบนั้นๆมักจะมีร้านค้าที่มาแบบผิดประเภทอยู่เสมอ
เช่นในแพลตตืนั่ม ประตูน้ำ ที่ทั้งตึกขายแต่เสื้อผ้า
ก็ยังอุตส่าห์มีร้านขายมือถือกับเค้าอยู่ 1 ร้าน
สงสัยจริงๆว่ามันจะขายได้มั้ยวะเนี่ย

กรณีร้านแบบผิดที่ผิดทางนั้น อนุโลมให้ร้านค้าบางประภทได้
เช่น ร้านอาหาร ร้านขายน้ำ ที่ต้องมีทุกที่
ยิ่งมีคุ่แข่งน้อยยิ่งดี เพราะยังไงทุกคนต้องกินต้องดื่ม

แต่ในรายร้านมือถือกลางตึกที่ทุกคนมาเพื่อจะซื้อเสื้อผ้านั้น
ยังนึกเหคุผลดีๆไม่ได้เหมือนกันว่าทำไม
บาทีเค้าอาจโดนหลอกมาขาย
หรือเค้ามั่นใจว่าจะต้องขายดี

ก็ต้องรอดูกันไปยาวๆ

กฏทางการตลาดบอกไว้ว่า
ถ้าไม่เป็นคนแรก ก็ต้องเป็นคนที่ดีที่สุด ไม่งั้นก็ต้องแตกต่างที่สุด

ท่ามกลางความสับสน ณ พันทิพย์พลาซ่า

ใครเป็นร้านแรกที่มาตั้ง จะรู้มั้ย
ใครเป็นร้านที่ดีที่สุด จะรู้มั้ย
ใครเป็นร้านที่แตกต่างที่สุด ก็เห็นมันเหมือนกันหมด จะรู้มั้ย

สุดท้ายก็เข้าวังวนเดิมๆ ร้านไหนคนมุงๆ กูไปร้านนั้นละโว้ยย

ขอสารภาพว่าในบางอารมณ์ ก็เคยไปยืนมุงๆมั่วๆดูว่าจะมีคนตามมามั้ย
เค้าก็ตามมาดูกันนะ สรุปว่า แม่งมั่วพอกันทุกคน
จะเชื่อใครดีล่ะทีนี้

วันเสาร์ที่ ๒๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๐

Half-way Decision.

จุดสตาร์ท
เส้นชัย

มีคนให้ความสำคัญกับสองสิ่งนี้มากมายเหลือเกิน
แต่ระหว่างทางนั้น ก็มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายเหลือเกิน
ทั้งการออกนำแบบม้วนเดียวจบ
การไล่บี้กันจนวินาทีสุดท้าย
หรือแม้แต่การพลิกล้อกแบบสุดๆของผู้รั้งท้าย

มีเรื่องมาเล่าให้ฟัง 2 เรื่อง

เรื่องแรกเป็นเรื่องของชายคนหนึ่ง
ที่วางแผนจะว่ายน้ำข้ามแม่น้ำแห่งหนึ่ง
เขาเริ่มต้นว่ายไปเรื่อยๆ
แต่เมื่อว่ายจนถึงกลางทาง
เค้าก็ตัดสินใจยอมแพ้ และว่ายกลับ

ระยะทางที่เค้าว่ายไปและกลับ
กินระยะเท่ากับที่เค้าว่ายไปถึงเส้นชัยได้พอดี

ส่วนเรื่องที่สองเป็นเรื่องของนักว่ายน้ำ 2 คน
ที่เป็นคู่แข่งกัน คนแรกมีฝีมืออ่อนกว่าคนที่สอง
โดยเค้าทั้งสองเลือกที่จะว่ายข้ามทะเลไปที่เกาะแห่งหนึ่ง

การแข่งขันจบลงด้วยการชนะของนักว่ายน้ำคนแรก
เมื่อกลับมาถึงฝั่ง ผู้แพ้ก็เข้าไปถามผู้ชนะว่า
ทำไมเค้าถึงชนะได้ ทั้งๆที่ตลอดมาไม่เคยว่ายชนะได้เลย
ผู้ชนะตอบว่า เพราะครั้งนี้เค้าคิดแต่จะว่ายไปให้ถึง
ไม่ได้คิดเผื่อแรงไว้ว่ายกลับเลย

การตัดสินใจแบบไหนดีกว่ากันกันแน่
ความรอบคอบ
หรือมุทะลุบ้าบิ่นแบบไม่คิดหน้าคิดหลัง

แต่ทั้งสองเรื่องที่เล่ามามันก็เป็นเรื่องเล่า
ที่อาจจะแต่งขึ้นมาเพื่อให้ข้อคิดสอนใจบางอย่างเท่านั้น

ในโลกแห่งความเป็นจริงทุกคนเตรียมตัวเพื่อการเริ่มต้น
เตรียมตัวเพื่อเข้าเส้นชัย

แต่ในระหว่างทางนั้น เราได้เตรียมพร้อมสำหรับมันหรือไม่
และถ้าเราคิดจะเตรียมพร้อม เราจะทำได้จริงหรือ

ถ้าเป็นนักกีฬา เราต้องหมั่นซ้อม
ถ้าเป็นนักดนตรี เราก็ต้องหมั่นซ้อม

เราซ้อมได้ในสิ่งที่เราคาดการณ์ไว้ว่าจะเจอ
แต่บางครั้งเราต้องทำการ แก้ปัญหาเฉพาะหน้า
แปลว่ามันคือสิ่งที่ไม่คาดฝัน
เราจะทำอะไรกับมันได้บ้าง
ซ้อมไว้ให้กว้างที่สุด เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดมัน
แต่ใครจะไปสร้างความครอบคลุมได้มากขนาดนั้น

ในระหว่างการแข่งขัน
เรามักจะเห็นการเล่นมหัศจรรย์เกิดขึ้นเสมอ
เค้าซ้อมมาสำหรับจังหวะนั้นจริงหรือ
หรือนี่คือเครื่องหมายยืนยัน
ว่าพรสวรรค์มีจริง

ในการเล่นดนตรีก็มีการเล่นที่เรียกว่า
Improvise หรือการด้นสด
ที่นี่นิยมมากในการเล่นดนตรีแจ๊ซ
ที่ว่ากันว่ามันเล่นได้หนเดียว เล่นซ้ำอีกคงไม่เหมือนเดิม

แล้วทีนี้การตัดสินใจในจังหวะนั้นๆ
มันขึ้นอยู่กับอะไรกันแน่

พรสวรรค์?
การหมั่นฝึกซ้อม?
ฟลุ้ค?

แต่ที่แน่ๆ ถ้าอยากจะไปที่คาร์เนกี้ฮอลล์
เราต้อง ซ้อม ซ้อม แล้วก็ซ้อม

วันศุกร์ที่ ๒๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๐

This Order,Disoder.

ซื้อของมาแล้วใครจะคิดว่าของมันจะพังตั้งแต่ครั้งแรกที่ซื้อมา
ใครว่าของถูกและดีไม่มีจริง

นั่นสิ เริ่มสงสัยแล้ว
มิน่ามันถึงถูก
ทั้งๆที่ดูเป็นของดี

เรื่องของเรื่องก็คือตอนที่ไปสิงคโปร์มานั้น
ได้มีโอกาสซื้อ External Harddisk
มาจากที่นั่น ด้วยราคาที่ถูกสุดๆ
ของวางกองพะเนินอยู่
ไอ้เราก็เห็นความถูกบังตา
จึงไม่ทันคิดอะไร
ก็ซัดซะ ได้ของกลับมาเรียบร้อย

ด้วยความที่ไม่อยากวุ่นวายตอนแพ็คกระเป๋ากลับ
ก็เลยไม่ได้แกะอะไรทั้งสิ้น
เอากลับมาแกะที่บ้านทีเดียว
จะได้ย้ายเพลงทั้งหลายได้สะดวกโยธิน

ซื้อมาความจุ 320 Gb
ทีนี้ล่ะมึงเอ้ยย พ่อจะโหลดมาให้ชุ่มตับเชียว
(อ่านแล้วอย่าไปฟ้องค่ายเพลงนะครับ โดนจับไปไม่มีคนเขียนให้อ่านนะเอ้อ)
จัดแจงเสียบปลั้ก ไฟติด แต่มันกระพริบๆ
แปลว่าไฟเข้าไม่เต็มที่ อะไม่เป็นไร เอาใหม่
เสียบเข้าไป กระพริบอีก เอาแล้วไง

เลยจัดแจงเข้าไปในอินเตอร์เน็ต
ค้นหาเวบไซต์มันเพื่อหาข้อมูล
แล้วก็พบว่า Maxtor(ยี่ห้อฮาร์ดดิสก์ที่ซื้อมา)
โดน Seagate(บริษัทฮาร์ดดิสก์อีกยี่ห้อนึง) ซื้อไปแล้ว
ในไทยยังไม่พบความคืบหน้าใดๆเกี่ยวกับการควบรวมกิจการ

หลังจากไปสอบถามที่พันทิพย์มาพบเพียงคำตอบว่า
ศูนย์ Maxtor ไม่มีแล้ว

ไอ้ครั้นจะให้ร้านซ่อมให้ก็ต้องแกะออกมา
แล้วไอ้ใบประกันที่ติดไว้จะขาด และส่งผลให้ส่งเคลมไม่ได้ตลอดไป
เวรจริงๆ

เอาวะ ส่งกลับสิงคโปร์ก็ได้
และแล้วเจ้าฮาร์ดดิสก์ตัวน้อยก็ได้เดินทางกลับไปสู่มาตุภูมิ

พอมันเดินทางไปถึงร้านขาย มันก็ถูกปฏิเสธอย่างไม่ใยดี
ว่าต้องส่งไปที่ศูนย์ Maxtor ร้านเราไม่เกี่ยว
ส่งไปส่งมา ก็ต้องโทรไปติดต่อเจ้าหน้าที่
เจ้าหน้าที่ที่ว่าอยู่ที่อเมริกา
เค้าบอกว่า เปลี่ยนได้แต่ต้องมาที่นี่นะ
ไอ้ที่นี่ของมันคือ อเมริกานะโว้ยยย

มีบางคนบอกว่า ถ้าแกะมาเช็คก่อนก็จะได้ไม่ต้องเสียเวลา
ก็จริงของเค้า แต่ว่าคงต้องแกะที่ร้านกันสดๆ
มันอาจจะยอมเปลี่ยนให้

เพราะถ้ากลับมาที่โรงแรมแล้วแกะ ก็อาจจะพบคำตอบเดิม
ไม่แน่ว่าถ้าแกะที่ร้าน ก็อาจจะเปลี่ยนไม่ได้อยู่ดี

ทำให้เกิดคำถามขึ้นมาในหัวว่า
แกะที่ไหนแล้วเจอว่ามันเสีย จะเจ็บในที่สุด

กลับมาไทยแล้วเจอว่ามันเสีย ส่งกลับไปสิงคโปร์ เปลี่ยนไม่ได้
กลับมาแกะในโรงแรมที่สิงคโปร์แล้วเจอว่ามันเสีย เปลี่ยนไม่ได้
แกะมันที่ร้านกันสดๆแล้วเจอว่ามันเสีย เปลี่ยนไม่ได้

นั่นสิแบบไหนจะเจ็บใจกว่านะ

วันพฤหัสบดีที่ ๒๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๐

I'm so Hungry.

ตื่นมาก็หิว
เช้าก็หิว
เที่ยงก็หิว
บ่ายก็หิว
เย็นก็หิว
กลางคืนก็หิว
และตื่นมาก็หิวอีก

เวลาที่ชวนกันไปกินข้าว
บางครั้งเคยเจอคนกวนมาว่า
"กินทำไม กินมาทั้งชีวิตแล้วไม่เบื่อเหรอ"

นั่นสิกินมาทั้งชีวิตแล้วทำไมถึงยังต้องกินอีกวะ

หลายคนกินเพื่ออยู่
อีกหลายคนอยู่เพื่อกิน

อาหาร 3 มื้อต่อวันทิ้งระยะห่างเฉลี่ย 6 ชั่วโมงต่อมื้อ
แต่ในตอนกลางคืนเราไม่ต้องกินเพราะเราหลับ
แต่เราก็ยังมีมื้อพิเศษที่โผล่มาเป็นระยะๆ
กินมื้อเช้าไปแล้ว สายๆอาจจะมีอะไรเล็กๆน้อยกินไประหว่างทาง
มื้อเที่ยงก็ตามมา และพอตกบ่ายก็จะมีอะไรกินรองท้อง
ชาติตะวันตกก็ยังมีมื้อบ่ายที่เรียกว่า Tea-Time
เป็นสิ่งแสดงว่าใครๆก็หิวตอนบ่าย
และมาถึงมื้อเย็นที่ใครต่อใครพากันสรรหาที่กินให้สะดวกปาก สบายท้อง
และอาจลุกลามไปถึงมื้อดึกได้ในบางกรณี

สำหรับผมแล้ว อาหารไม่ได้มีไว้แค่ให้อิ่มท้อง
แต่มีไว้เพื่อหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณด้วยความอร่อย
ตัวอาหารทำให้อิ่มท้อง แต่รสชาติอาหารทำให้อิ่มใจ

คนเราพากันถวิลหาอาหารอร่อยๆมาไว้กิน
บางครั้งอาหารธรรมดามากๆ แต่ถ้าคนทำมีฝีมือพอ
มันก็อร่อยแบบสุดๆได้เช่นกัน
ข้าวมันไก่ประตูน้ำ เย็นตาโฟวัดแขก
ก๋วยจั๊บเยาวราช ข้าวหมูแดงตรอกสุกร
ขาหมูสีลม ก๋วยเตี๋ยวเนื้อที่เอกมัย

เราจะพบเห็นอาหารจำพวกนี้ได้ตามศูนย์อาหาร
ทั้งๆที่แปะป้ายเดียวกัน แต่รสชาติห่างไกลกันลิบลับ
บางร้านพอดังแล้วก็โดนขโมยชื่อเอาไปเปิดใหม่
เดือดร้อนจนถึงร้านต้นตำรับ
ต้องมาแปะป้าย ว่า "ร้านนี้ไม่มีสาขา"

คนเราก็มีรสนิยมการกินไม่เหมือนกัน
บางคนกินแต่ผัก
บางคนไม่กินผัก
บ้างก็ไม่กินเนื้อวัว บ้างก็เนื้อหมู
บางคนไม่กินเพราะแพ้
บางคนไม่กินเพราะนับถืออะไรบางอย่าง
บางคนไม่กินเพราะสุขภาพ

ของที่อร่อยมากๆสำหรับบางคนอาจรสชาติไม่ได้เรื่องสำหรับคนอื่นได้
มันเป็นเรื่องของรสนิยม การเลี้ยงดู และอาจรวมไปถึงประสบการณ์ส่วนตัว

คนจีน ชอบกินจืดๆเค็มๆ
คนไทยชอบกินรสจัด เปรี้ยวจัด เผ็ดจัด เค็มจัด หวานจัด
ฝรั่งก็ยังมีความแตกต่างกันไป
บางชาติกินจืดสนิท กินเผ็ดไม่ได้เลย
บางชาติกินเผ็ดได้หน้าตาเฉย
แขกกินอาหารกลิ่นแรงนิดๆ

แต่บางครั้งการผสมผสานทางวัฒนธรรมที่ลงตัว
ก็ทำให้เราเห็นฝรั่งมานั่งกินส้มตำปลาร้าได้หน้าตาเฉย
ทำให้เราเห็นอากงอาม่าแก่ๆมานั่งกินแฮมเบอร์เกอร์พร้อมกับหลานๆได้

พิมพ์แล้วก็หิวแล้วสิ
ไปหาอะไรกินดีกว่าครับ